คาถาเงินล้าน ฉบับพิศดาร - คาถาเงินล้าน ฉบับพิศดาร นิยาย คาถาเงินล้าน ฉบับพิศดาร : Dek-D.com - Writer

    คาถาเงินล้าน ฉบับพิศดาร

    คาถาเงินล้าน เป็นของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ถือว่าเป็นคาถาที่ดีที่สุดสำหรับผู้รวบรวม ซึ่ง สามารถทำให้เห็นผลได้จริงหากผู้ปฏิบัติเอาจริง

    ผู้เข้าชมรวม

    1,312

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    1.31K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  อื่นๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ย. 60 / 23:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    อารัมภบท

    พระคาถาเงินล้าน แต่เดิมนั้นคือ “คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า” ที่”พระเดชพระคุณหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค” ท่านได้เรียนมาจาก “ครูผึ้ง” ชาวนครศรีธรรมราช ซึ่งครูผึ้งท่านก็ได้จากพระธุดงค์อีกที  จากนั้น”พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีฯ” ท่านได้ต่อเติมมาเรื่อยๆ จาก คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้มาเป็น

    “คาถาเงินล้าน” ที่สมบูรณ์แบบ

     

    เป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มาก หากผู้ปฏิบัติทำจริงปฏิบัติจริง ก็จะเห็นผลจริง ถ้าหากต้องการทดลองผลของคาถา

    มีผู้รู้ให้คำแนะนำไว้ว่า ให้ลองปลูกพืชสวนครัว(ชนิดไหนก็ได้ที่ให้ผล)สักสองต้น

    ต้นที่ รดน้ำพร้อมกับว่าพระคาถาไปด้วย

    ต้นที่ รดน้ำตามปรกติโดยไม่ต้องว่าพระคาถา

    จากนั้นให้สังเกตความแตกต่างหลังจากพืชโตได้พอสมควร แต่ที่สำคัญก็อย่าลืมปฏิบัติตามกฎ

     

    ของพระคาถาด้วยนะครับ

     

    ซึ่งตัวของผู้รวบรวมเอง ก็มีความเคารพศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระเดชพระคุณหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่สุด และเห็นว่าคาถาเงินล้าน นั้นเป็นคาถาที่ดีที่สุดในทางโชคลาภ ที่ท่านผู้มีคุณ ครูบาอาจารย์ท่านประทานไว้ให้ แก่ลูกหลานของท่านได้ใช้ เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง ส่วนรวม และ ชาติบ้านเมือง

    ตัวของผู้รวบรวมเอง เล็งเห็นประโยชน์ และ ความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถา จึงมีความตั้งใจอยากจะรวบรวมถ้อยคำอันแฝงด้วยคุณค่าและความเมตตา ของครูบาอาจารย์ ที่กรุณาถ่ายทอดไว้ให้อย่างละเอียด รอบคอบ  ข้าพเจ้าจึงอยากจะรวมรวบและเรียบเรียงเอาไว้ เป็นหมวดหมู่อย่างที่ตนมีความเข้าใจ แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีสมองแค่หางอึ่ง หรือแสงหิ่งห้อยเมื่อเทียบกับแสงดวงอาทิตย์ เช่น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่กล่าวนามมาแล้วก็ตาม จึงได้จัดไว้เป็นหมวดหมู่ ตามความโง่เขลาของตนเท่านั้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า...คงเป็นประโยชน์แก่ท่านที่สนใจศึกษา พระคาถา “เงินล้าน” บทนี้ ตามถ้อยคำของครูบาอาจารย์ที่เมตตาแนะนำไว้  หากมีสิ่งผิดพลาดประการใด หรือล่วงเกินต่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกท่าน ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค พระเดชพระคุณหลวงพ่อราชพรหมยาน และหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ข้าพระพุทธเจ้าขอขมากรรม ณ โอกาสบัดนี้ด้วยเถิดฯ และได้โปรดอดโทษให้แก่ความรู้น้อยของข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้ายเถิดฯ สาธุ

    ข้าพระพุทธเจ้านาย หยง เมืองดง

     

     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      คาถาเงินล้าน

      และวิธีสวดภาวนา ของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

       

      ทางข้างหน้าคงไม่มีทางกระจ่างแก่ใจ หากยังหลบอยู่ใน...กะลา(ความคิด)

      หยง เมืองดง

       

       

       

      คาถาเงินล้าน

       

      ตั้งนะโม 3 จบ


      สัมปะจิตฉามิ

      นาสังสิโม

      พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ

      พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม

      มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม

      มิเตพาหุหะติ

      พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง

      วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ

      มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม

      สัมปะติจฉามิ

      เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ

       

       

      บทแรก พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ อันนี้ ตัดอุปสรรคที่ลาภจะมา แม่เขามาบอกว่ามีผลแน่นอน คือว่าแกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่ายๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงยืนยัน บอกว่าให้ได้หมด

      บทที่สอง พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม คาถาบทนี้เป็น คาถาเงินแสน ของท่าน

      บทที่สาม มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม บทนี้เป็น คาถาปลุกพระวัดพนัญเชิญ

      บทที่สี่ มิเตพาหุหะติ เป็น คาถาเงินล้าน มียักษ์ตนหนึ่งนำความจากท้าวเวสสุวรรณนำคาถามาบทหนึ่งเป็นของพระกัสปะสัมพุทธเจ้าสวดภาวนาทุกวันจะมีอำนาจ เหตุร้ายไม่เกิด และเป็นมหาลาภ นำมาสวดก่อนคาถาพระปัจเจก..(จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกหน้า หน้า ๕๐)ให้นึกขอกับท่านสมเด็จพระกัสปสัมมาพุทธเจ้า และท่านท้าวเวสสุวรรณถึงมีผล

      บทที่ห้า พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม เป็น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

      บทที่หก สัมปะติจฉามิ บทนี้เป็น บทเร่งรัด บทสุดท้าย

      ต่อมาหลวงพ่อแนะนำให้เติม นาสังสิโม ข้างหน้า พรหมา เป็น“คาถาพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า”พระราชทานสวดคาถาจบแรกนึกถึงพระองค์คาถาเงินล้านจึงมีผล
      ต่อมาท่านให้เติม เพ็งๆ พาๆ หาๆ ฤาๆ ต่อจาก สัมปะติจฉามิ เพราะมีผู้นำไปใช้แล้วได้ผลดีมาก ทั้งหมดนี้ต้องสวดเป็นบทเดียวกัน บูชาเรื่อยๆ ไป เป็น “คาถามหาลาภ”  พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อเมื่อ พ.ย.๒๕๓๓ เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก หลวงพ่อสอนว่า "คาถาเงินล้าน สวดแค่วันละ ๙ จบยังทำไม่ได้ คน ๆ นั้นก็ไม่น่าจะรวยตามอานุภาพคาถา"

      ✪สัมปจิตฉามิ เป็น คาถาสนองกลับ เหตุร้ายไม่เกิด ภัยที่เขาจะเข้ามาหาเรา จะถูกผลักไปหาเจ้าของ คือการปัดอุปสรรคไม่ให้กล้ำกรายเข้ามา

       

      คำอธิบาย


      หลวงพ่อได้คาถาบทเหล่านี้โดยตรงจาก องค์สมเด็จฯ(องค์ปฐม) ตั้งแต่ปี 2517 เป็นเวลา 4 ปี จึงจะได้ครบถ้วน ท่านบอกว่า คาถาที่ได้จากกรรมฐาน เขาจะไม่บอกใคร เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2527 เวลา 23.59 น. องค์สมเด็จฯ ได้อนุญาตให้ลูกหลาน และพุทธบริษัทใช้ได้เป็นสาธารณะ เพื่อช่วยบรรเทาสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ อีกทั้งการก่อสร้างของวัดท่าซุง จะต้องเร่งรัดให้เสร็จทันฉลองวัดในปี 2532 จึงจำเป็นที่จะต้องใช้คาถาเหล่านี้ช่วย เพื่อพุทธบริษัท และลูกหลานของหลวงพ่อ มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

      คาถา"นาสังสิโม" หลวงพ่อให้ท่องเพิ่มเติมเมื่อปี 2532

       

      คาถา"เพ็งๆพาๆหาๆฤาๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้ามาบอกหลวงพ่อ เมื่อ พฤศจิกายน 2533 เป็นภาษาโบราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็น"คาถามหาลาภ" มีผลยิ่งใหญ่มาก......

       

      พระคาถาเงินล้าน..เรียกว่าเป็นสุดยอดพระคาถา มีหลักฐานที่มาของคาถายอดพุทธคุณ

      ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน

      นับตั้งแต่ คาถาประทานโดย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง ๒ พระองค์คือ

      สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน 

      และ 

      พระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า 

      (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ ในภัทรกัปนี้)

       

      คาถาจากพระปัจเจกพุทธเจ้า สืบสายจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

      มอบแก่ลูกหลานโดย..

      หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง 

      ท่านปู่พระอินทร์ 

      ท่านย่าศรี 

      ท่านพระเจ้าแม่มัทรี 

      บริวารท้าวเวสสุวรรณ

      นำคาถามาบอกหลวงพ่อ ก็มีประวัติปรากฎเกี่ยวข้องกับคาถาเกินจะกล่าวได้ทั้งหมด

       

       

       

      ความเป็นมาของคาถาเงินล้าน
      โดยหลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง

      หลวงพ่อ :- ก่อนที่มาอยู่วัดท่าซุงนะ ฉันอยู่กระต๊อบ เงินร้อยก็หายากสำหรับคนทำบุญ คาถาวิระทะโย ก็ทำเรื่อยๆ ไป ต่อมาท่านก็มาหา ก็บอกว่าคาถาบทนี้นะ ที่เขาทำพระวัดพนัญเชิญองค์แรก มีเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านไปนั่งกรรมฐานและเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ท่านให้ดูตัวอย่างวัดพนัญเชิง เงินขาดไหมฉันก็ทำมาเรื่อย

      มาอีกปีหนึ่งกำลังบวงสรวง ท่านบอกว่า คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินแสนนะ ก็ใช้คาถาบทนั้นมาประมาณครึ่งปี คนมาทอดกฐินผ้าป่าได้เงินเป็นแสน นี่เห็นชัดนะ

      แล้วต่อมาอีกปีหนึ่ง ท่านบอกว่า คาถาบทนี้ เป็นคาถาเงินล้านนะ ให้ว่าต่อเนื่องกันไป แล้วไปลง คาถาวิระทะโย ต่อมาก็จริงๆ เพราะปี ๒๕๒๗ ก็ใช้เงิน เดือนเป็นล้าน ซึ่งไอ้อย่างนี้เราก็คิดไม่ออก ต้องค่อยๆ ใจเย็นๆ

      เวลาว่าไป อย่าไปว่าหวังเอาลาภ คือต้องภาวนาด้วยนะ ถ้าทางที่ดีเวลาภาวนากรรมฐาน พอจิตสบายน่ะต่อเลย เพราะเวลากรรมฐานนี่จิตเป็นฌาน ใช่ไหม… เอาอย่างนี้ดีกว่า เวลาฝึกมโนมยิทธิออกไปให้ได้นั้น ออกไปเดี๋ยวเดียวก็ได้ ออกไปได้นี่จิตเป็นฌาน ๔ เข้าเขตพระนิพพานได้ จิตสะอาดถึงที่สุด กลับลงมาต่อด้วยคาถาบทนี้เลย มากน้อยก็ช่าง ให้หลับไปเลย คือถ้าจิตสะอาดมากผลก็เกิดเร็ว

      ก็สงสัยเหมือนกันนะ เมื่อปี ๒๕๒๖ ท่านบอกว่า ปี ๒๕๒๗ มีอะไรบ้างก็ตุนๆ ไว้บ้างนะ ปี ๒๕๒๘ จะเครียดมาก การค้าของใครถ้าทรงตัวได้ก็ถือว่าดีไว้ก่อน อันนี้ท่านบอกว่า ถ้าลูกเราจะจนก็จนไม่เท่าเขา

      หลวงพ่อใช้ได้ผลมาแล้ว

      หลวงพ่อ :- ถ้าพูดถึงผลหลวงพ่อก็นั่งดูเรื่อยๆ มาว่า เอ๊ะ! เงินแสนมันจะมีมาได้อย่างไร ภายในปีนั้นปรากฏว่า สมัยนั้นวัดต่างๆ เขายังไม่ถึงหมื่นเลย แล้วต่อมาคาถาเงินล้านก็ต้องว่าต่อ เพราะต่อไปข้างหน้าต้องใช้เงิน

      พระพุทธเจ้าบอกนี่ต้องเชื่อ ต้องใจเย็นๆ ไม่ใช่ไปเร่งรัด ถ้าว่าไปแล้ว

      คิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จพัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพ

      นานหลายปีท่านไม่ยอมเปิดกับใคร ก่อนจะเข้าถึงดีมันจะต้องเครียด ปี ๒๕๒๘ ความจริงมันน่าจะดี แต่ไปๆ มาๆ ก็มีจุดสะดุด จุดสะดุดนี่เป็นชะตาของชาติ แต่ยังไงๆ ก็ต้องไปเจอะจุดรวยแน่

      ถ้าพวกนี้รวยนะ วัดท่าซุงไม่เป็นไร คือว่าหนี้นี่น่ะ อย่าคิดว่ามันโล๊ะกันได้ เมื่อปี ๒๕๓๐ นะ มันเกินค่าใช้จ่าย เดือนละ ๒ ล้านเศษ อันนี้ต้องคิด เดือนนี้ตกเกือบ ๓ ล้าน คือ ๒ ล้าน ๙ แสนเศษ

      ตอนนี้ท่านให้ฉันเขียนโครงการที่จะทำให้เสร็จในปี ๒๕๓๐โครงการของท่านจริงๆ มีมาก ท่านย่าก็เคยบอก ท่านบอกว่า ท่านไม่บอกคุณตรงๆ หรอก ท่านรู้ใจคุณ ถ้าบอกโครงการทั้งหมด คุณไม่ทำแน่

      พระพุทธเจ้าก็รู้คอนะว่าลิงซะอย่าง ไปๆ มาๆ ท่านให้นั่งเขียนตามนี้นะ ๑๒ รายการ ให้เสร็จภายใน ๒๕๓๐ เลยคิดว่าเงินที่ต้องใช้ ต้องเป็นพ้อมๆ รายการมากนะลูก ถ้าหากจะถามว่า ๑๐ ล้านพอไหมก็ต้องบอกว่ามันไม่ได้ครึ่งหลังที่ท่านสั่งทำหรอก

      เหตุที่จะได้คาถาบทนี้

      หลวงพ่อ :- วันนั้นก็ขึ้นไปที่กระต๊อบฉัน ไปถึงกระต๊อบก็ปรากฎว่า สมเด็จองค์ปัจจุบันท่านประทับอยู่ที่นั่น และท่านพระเจ้าแม่ให้นามว่า มัทรี หรือ พิมพา” ไปที่อเมริกา ท่านบอก ฉันเคยเป็นแม่คุณเหมือนกัน” ถามว่าชื่ออะไร…”ชื่อมัทรี แล้วคุมมาตั้งแต่อเมริกา เวลานี้ก็ยังคุมอยู่

      ก็ไปกราบเรียนถามท่านว่า คำสั่งที่สั่งให้มันเกินวิสัย แค่อาคาร ๓๐๐ ห้อง จาก พ.ศ.นี้ไปจนถึง ๒๕๓๐ มันก็เสร็จยากเหลือเกิน และอีกหลายรายการมันก็ใหญ่ทั้งนั้น ท่านแม่มัทรีก็บอกว่า เอาอย่างนี้ซิลูก ขออำนาจพระพุทธานุภาพ

      ก็เลยหันไปกราบพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า ได้ ฉันต้องช่วยเธอ

      แล้วต่อมาเดินเล่นในบริเวณกระต๊อบของฉัน เล็กๆ มันมีถนนหนทางใช่ไหมก็ปรากฏว่าเดินไปเดินมา สมเด็จองค์ปฐมก็เสด็จมาเดินด้วย ท่านบอกว่า

      สภาพของพระนิพพานมันเป็นอย่างนี้นะ คนที่ถึงพระนิพพานแล้ว กิจอื่นที่ทำไม่มี มันเป็นอย่างนี้นะ เวลานี้เราเดินกลางบริเวณพวกเราทั้งหมด ลองนั่งดูสิ มันจะมีอะไรไหม

      ที่มันเป็นที่นั่งไม่มีเลย พอนั่งปุ๊บ ไอ้เตียงตั่งมันเสือกมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ เลยคุยไปคุยมา ท่านก็เลยบอกว่า งานที่ฉันสั่งต้องเสร็จทัน ๓๐

      ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับเทวานุภาพก็ช่วยแล้ว แต่ว่าถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และปี ๒๕๒๘ มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้า ขอคาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอให้ลูกๆ หลานๆ ใช้เถอะ แล้วท่านก็ให้อนุมัติ

      ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลย ท่านก็เลยบอกว่า

      ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำด้วยความเคารพ

      ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉัน จะมีผล จำให้ดีนะ

      จึงขอให้ทุกคน ถ้าได้รับคาถานี้ ให้ตั้งใจปฏิบัติ ด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า

      ต่อไปนี้ก็จะอ่านคาถา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และให้ทุกคนตั้งใจนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าคาถาทั้งหมดนี้ จงปรากฏอยู่ในจิตของเรา ลาภผลต่าง ๆ ให้ปรากฏแก่เรา ตามที่พระองค์ต้องการนะนึกถึงท่านนะ




       

       

      กฎเหล็กของการใช้คาถาเงินล้าน

       

      1             ห้ามกินเหล้า เว้นไว้แต่การกินเป็นยา(ห้ามมีรส ห้ามมีกลิ่น)ในปริมาณไม่เกิน 1 เป็ก(30 cc.)

      2             ห้ามลักขโมยทรัพย์ของผู้อื่น หรือของที่เขายังคิดว่าเขาเป็นเจ้าของอยู่

      3             หากปฏิบัติได้ผล ห้าม! โอ้อวดเป็นอันขาด เงินจะหด คาถาจะเสื่อมไป(เรื่องนี้สำคัญมาก สมัยก่อนผู้เขียนเห็นเพื่อนลำบาก เราก็อยากช่วย ทั้งโฆษนา ทั้งบอกผลที่จะได้ ....ท้ายที่สุดแล้วนอกจากเขาจะไม่ทำ เขายังจะหาว่าเราบ้า หรือไร้สาระ(อันนี้คิดเองนะ) ที่น่าเจ็บใจสุด ก็คือ....เราเสียผลการปฏิบัติไป โดยได้เพียงบทเรียนราคาแพง ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่คิดจะทำด้วยซ้ำ อันนี้ต้องระวังนะครับ เพราะบางที่ของบางอย่าง ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมี ของใครของมันในการรับของมีคุณค่า แล้วเขาจะมองเห็นเองโดยไม่ต้องไปโฆษนา)

      4             ห้ามลบหลู่ พระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ และท่านผู้มีคุณ เพราะถือว่าไม่ให้ความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ครูบาอาจารย์ผู้ให้ความรู้ และไม่มีความกตัญญูรู้คุณ เมื่อไม่มีความกตัญญูรู้คุณ พระคาถาจึงไม่มีคุณ เปรียบเหมือนคุณไปขอความช่วยเหลือจากผู้มีอำนาจ แต่ไปด้วยอาการเหยียดหยาม ลบหลู่ดูหมิ่น เมื่อผู้ที่คุณไปขอความช่วยเหลือ เห็นอาการอย่างนั้น เขายังอยากจะช่วยเหลือคุณอยู่หรือไม่ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคาถา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็เช่นกัน




       

       

      วิธีใช้คาถาเงินล้าน

       เวลาบูชาพระกลางคืน ให้ว่าคาถา ๙ จบ เช้า –เย็น  “แต่บูชาพระกับว่าตอนใส่บาตร  ท่านบอกว่ามีสภาพเป็นเบี้ยต่อไส้  หมายความว่า ถ้าจะหมดตัวจริงๆ ก็จะหาได้ทัน”

      “ฉันเคยโดนมาบ่อยๆ ในระยะต้นๆ โดนเองถึงรู้ แต่พอจวนตัวก็จะมีมาทุกครั้งไป  ถ้าภาวนาให้จิตเป็นฌาณจะมีผลมาก”

      หลวงพ่อ(ฤาษีลิงดำ) :- การบูชา ถ้าบูชาเฉยๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้ อย่าลืมนะ เวลาสวดมนต์แล้วให้สวดคาถานี้ ๙ จบ เท่าเดิมนะ และเวลาภาวนา นอนภาวนาก็ได้ ว่าเรื่อยๆ ไป จนกระทั่งหลับไปเลย ตื่นขึ้นมาต่อจากกรรมฐานนอนก็ได้ ใจสบายๆ นะ บางทีเผลอๆ ฉันก็ต้องว่าของฉันเรื่อยๆ ไป

      คาถาเงินล้านนี่มาให้เมื่อปีฝังลูกนิมิต (ปี ๒๕๒๐) ท่านบอกว่างานข้างหน้าจะหนักมาก หลังจากนี้เป็นต้นไป เงินจะใช้มากกว่าสมัยที่สร้างโบสถ์

      อย่าลืมนะเวลาว่างๆ นั่งนึกก็ได้ เดินไปก็ได้ ไม่ห้ามเลยนะ ให้มันติดใจอยู่อย่างนั้น ให้ถือว่าเป็นกรรมฐานไปในตัวเสร็จ เพราะคาถาที่พระพุทธเจ้าบอกทุกบท ก่อนจะทำต้องนึกถึงท่าน ถือว่าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน

       

      สวดคาถานี้จบแรก...หลวงพ่อฤๅษีกำชับให้นึกขอบารมีพระพุทธเจ้าคาถาจึงมีผล

      .   ตอนเช้าทุกวันควรใส่บาตรทุกวัน ก่อนใส่บาตรก็ให้ว่าคาถา 1 จบ

      แล้ววิธีใส่บาตรมีอยู่ อย่าง ถ้าไม่มีพระจะมาให้ใช้ข้าวสารตักแทนก็ได้  แต่ว่าเดี๋ยวนี้ เราใช้สตางค์ใส่บาตรแทนก็ได้  เงินนั้นใช้เป็นค่าอาหารมากน้อยตามกำลัง  ไม่จำเป็นตองไปรอพระมา ถ้าเห็นว่ามันมากพอสมควรก็เอาไปถวายพระ บอกท่านว่าเป็นค่าอาหาร แล้วท่านจะนำไปใช้เป็นค่าอาหาร หรือเอาไปใช้ก่อสร้าง ก็เป็นเรื่องของท่าน  แต่เรามีเจตนาเป็นค่าอาหารก็แล้วกัน เท่านั้นก็พอ

      (คัดลอกจาก : อานิสงค์คาถาพระปัจเจกโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นแบบของ คาถาเงินล้าน  ที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านได้กรุณาต่อเติมมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น “คาถาเงินล้าน” ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งวิธีใช้พระคาถา ก็คงไม่แตกต่างกัน และใช้ได้แบบเดียวกัน แต่ผลอาจจะเพิ่มมากขึ้น หยง เมืองดง ผู้รวบรวม)

      .  ตักบาตรคาถาเงินล้าน  หากไม่มีเวลาในการใส่บาตรในตอนเช้า สามารถเอาเงินใส่บาตรเล็กๆ ไว้ เหมือนตอนเราใส่บาตรในตอนเช้า ท่องคาถาเสร็จก็ เอาเงินนั้นใส่ในบาตรกระปุกนั้นไว้ เมื่อครบรอบอาทิตย์หนึ่งจึงเอาไปทำบุญ ถวายสังฆทานป็นค่าอาหารสำหรับพระภิกษุสงฆ์

      เงินในบาตรวิระทะโย

      ผู้ถาม :- หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันใส่บาตรวิระทะโย มันเกือบจะเต็ม ๓๐๐ ก็เพิ่มให้เต็ม ๓๐๐ บาทพอดี นำมาเปลี่ยนเป็นถวายสังฆทานชุดใหญ่ อย่างนี้จะผิดหรือไม่เจ้าค่ะ…?”

      หลวงพ่อ :- ไม่ผิด เพราะวิระทะโยเป็นเงินสังฆทานอยู่แล้ว ที่นี้ถ้าหากตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ เรายังไม่ถวายจริงนี่ ตอนนั้นมาเปลี่ยนเป็นสังฆทาน จิตใจมั่นคงยิ่งขึ้น ตอนนี้ไม่เป็นไร เอพูดแบบนี้วัดจะขาดทุนหรือเปล่านะ ไม่ควรจะถามข้อนี้เลย ไม่เป็นไรไม่ใช่ขโมยของสงฆ์ คือว่าทำใจให้มั่นคงยิ่งขึ้น

      แต่เนื้อแท้จริงๆ เงินวิระทะโยนี่ ให้ไปก็เป็นสังฆทานตรง และก็เป็นวิหารทานด้วย ฉันใช้ ๓ อย่าง สังฆทาน คืออาหารและกระแสไฟฟ้า วิหารทาน ก่อสร้างด้วย ญาติโยมจะได้มีบุญมากขึ้น ธรรมทาน พล่องก็ช่วยและก็ได้ปัญญา

      สังฆทาน ได้ร่างกายเป็นทิพย์
      วิหารทาน ได้วิมานเป็นทิพย์

      .  การภาวนา   การใช้ในการภาวนานี้ ก็เพื่อให้มีผลมากขึ้น ตามกำลังของจิต

       “ภาวนาจนจิตเป็นสมาธิ ลาภผลก็มาเร็วตามอำนาจฌานสมาธิ..*เพราะสมาธิฌานจัดเป็นคุรุกรรม(กรรมหนัก)ย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่น”..(ธรรมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๓๖ หน้า)

       

      ภาวนาคาถาขณะทำงาน

      ผู้ถาม :- ขณะที่ลูกใช้สมองในการคำนวณ ในการทำงานไป แล้วก็ภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย อย่างนี้จะมีผลหรือไม่เจ้าคะ…?”

      หลวงพ่อ :- โอดีมาก อันนี้ต้องดีมากเชียวนะ ทำไปเรื่อยๆ นะ ภาวนาคาถาเงินล้านขณะทำงาน หรือเลิกงาน ภาวนาแล้วก็ดี อย่างนี้ดีจิตเป็นฌาน ทรัพย์สินจะคล่องตัว

      สวดคาถาแล้วตัวสั่น

      ผู้ถาม :- มีคนหนึ่งเขาบอกว่า หลังจากบูชาพระนั่งกรรมฐานเสร็จแล้ว ก็ต่อด้วยคาถาเงินล้านของหลวงพ่อ ว่าไปสักครู่หนึ่งปรากฎว่า กายสั่น มือสั่น ใจสั่น เหมือนกับอาการจะปลุกพระอย่างนั้นแหละ จึงเรียนถามหลวงพ่อว่า เป็นเพราะเหตุไร ต่อไปจะสั่นต่อไปได้หรือไม่ครับ…?”

      หลวงพ่อ :- จะเอาสั่นต่อหรืออย่าลืมนะ ถ้าไอ้ใจสั่นนี่มันผิดปกติ คือใจสั่นนี่คงจะภาวนาเร็วเกินไปหรือไม่เข้าใจ ถ้าตัวสั่นนี่เป็น อุเพงคาปีติ ดีนะ แต่ควรจะคุมอย่าให้ใจสั่น ใช่ไหมจะสั่นหรือไม่สั่น ถ้าจิตมีกำลังสมาธิถึงนั่น มันก็สั่น ถ้าเลยไปแล้วเป็นภาวนาปกติ มันก็ไม่สั่น ถ้าต่ำลงมา มันก็ไม่สั่น และเวลาที่ว่าคาถา ไม่ควรจะคิดว่าจะสั่นหรือไม่สั่น เอาแค่จิตเป็นสุข ค่อยๆ ว่า สบายๆ ดีกว่า ทำอย่างนี้ถูกต้องนะ

      ภาวนาคาถาเงินล้านถูกหวย

      ผู้ถาม :- ภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วขอบารมีทุกๆ พระองค์ ที่เป็นเจ้าของคาถา หยิบหวยรัฐบาลปรากฎว่าถูกรางวัลที่ ๕ สองใบ การที่อาราธนาเจ้าของคาถาเอามาซื้อหวยรัฐบาล จะเป็นบาปหรือไม่ เพราะมันเป็นการพนันนิดๆ

      หลวงพ่อ :- ไม่เป็นบาป เขาไม่ถือว่าเป็นการพนัน อย่างที่เขาจับกันนี่ การพนันประเภทนี้ตำรวจเขาไม่ได้จับ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีอะไรเป็นบาปนะ แล้วเราก็ไม่ได้บังคับ ว่าเลขที่ฉันซื้อจะต้องออก เราเขียนเองออกเอง ไม่ใช่อย่างนั้นนะ เพราะคนหมุนกับเราคนละคนกัน ถือว่าเป็นโชคดีดีกว่า

       

      ผลของการเจริญจนถึงฌาณอย่างนี้ มีผลในปัจจุบันมากมาย คือ 

               ๑. ลาภจะเกิดมากมายอย่างท่านนายห้างประยงค์

               ๒. ผลทานเป็นเหตุให้เกิดความรักแก่ผู้ที่ได้รับ และเป็นผลในการตัดโลภกิเลส

               ๓. ผลของศีลทำให้เป็นคนน่ารัก และเป็นที่เคารพนับถือ

               ๔. ฌานทำให้อารมณ์ผ่องใสไม่ขุ่นมัว มีหน้าและใจแจ่มใสอยู่เสมอ และฌานนี้จะบันดาลให้ได้ทิพจักขุญาณ รู้เห็นภาพที่เป็นทิพย์ เช่น สวรรค์ นรก เป็นต้น

       

       

      สามารถเปลื้องความเคลือบแคลงสงสัย ในคำสอนของพระพุทธเจ้าเสียได้

      ตัดความเป็นมิจฉาทิฏฐิได้อย่างเด็ดขาด และเป็นกำลังของวิปัสสนาญาณ

      เป็นเหตุให้รู้แจ้งเห็นจริงได้ตามที่นักบุญทั้งหลายต้องการ

       

       

               เป็นอันว่า พระคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ ย่อมให้ผลสองประการ คือ

               ๑. ให้ผลร่ำรวยในโลกนี้ และเป็นที่รักที่เคารพของคนทั่วไป

               ๒. ให้ผลในชาติต่อไปด้วยอำนาจทาน ทำให้ร่ำรวย ศีลทำให้รูปสวยและอายุยืน ฌานทำให้ได้เกิดในพรหมโลก และเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน จัดว่าเป็นพระคาถาที่ให้ผลเป็นพิเศษที่หาได้ยาก

       

      อาการและอานิสงส์ของสมาธิ

      (หลักการปฏิบัติ ในคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า โดย หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง  ซึ่งผู้รวบรวมเห็นว่าหลักการปฏิบัติ ไม่แตกต่างกัน และสามารถใช้ร่วมกันได้ จึงนำมาลงไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติให้เกิดผล)

       

              ไหนๆ ก็ได้พูดกันมาถึงเรื่องของสมาธิแล้ว

      ก็จะขอพูดต่อไปเสียเพื่อความเข้าใจโดยย่อๆ ของสมาธิ

      เพราะเมื่อเรียนคาถานี้มา ท่านอาจารย์หลวงพ่อปานสอนในระดับสมาธิ

       ท่านได้บอกให้เข้าใจว่า

      คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้านี้เป็นความรู้ในคิหิปฏิบัติในระดับฌานสมาบัติได้ดี 

      คำว่า คิหิปฏิบัติ แปลว่า การปฏิบัติดีของชาวบ้าน 

      เพราะคาถานี้นอกจากจะให้ผลเป็นฌานสมาบัติแล้ว 

      ยังให้ผลในความมั่งคั่งสมบูรณ์ได้อีกด้วย 

      เป็นผลทั้งในชาตินี้และชาติหน้า คือ ชาตินี้เป็นคนรวย 

      ชาติหน้าก็เป็นปัจจัยใกล้มรรคผล คือ ให้ผลในสุคติสวรรค์และพรหมโลกเป็นที่ไป 

      หากท่านผู้ใดสนใจเอาสมาบัติที่ได้ไปเป็นกำลังของวิปัสสนาญาณด้วยแล้ว

      ท่านอาจจะได้รับผลสูงอย่างคาดไม่ถึง

       

               นอกจากผลในสมาธิเป็นสมาบัติ

      อาจผดุงผลทางลาภให้เกิดกลายเป็นคนร่ำรวยแล้ว

      สมาธิยังให้ผลในทิพจักขุญาณอีกด้วย

      เป็นการช่วยส่งเสริมศรัทธาในการสร้างความดีให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

      แต่ทว่าหนังสือนี้ตั้งใจจะเขียนแต่เพียงโดยย่อ

      หากข้อความที่เขียนไว้นี้ย่อเกินไป ท่านเข้าใจไม่ละเอียดพอแล้ว

      ท่านประสงค์จะรู้ต่อไปให้ละเอียดก็ขอให้รอหนังสือคู่มือสมณธรรม

      ซึ่งอาตมาจะพิมพ์ต่อจากเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้ได้เขียนข้อความปฏิบัติ

      มีแบบปฏิบัติตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณ อภิญญา ๖ วิชชา ๓ ไว้พอที่จะเข้าใจได้พอสมควร

       

       

       

      สมาธิ

               คำว่า "สมาธิ" แปลว่า ตั้งใจมั่น คือมีอารมณ์ตั้งมั่น

      อยู่ในอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ

      ท่านจัดไว้เป็น ๓ อย่าง คือ

      ๑. ขณิกสมาธิ

      ๒. อุปจารสมาธิ

      ๓. อัปณาสมาธิ

       

               ขณิกสมาธิ ได้แก่สมาธิเล็กน้อย คือ เมื่อขณะที่กำละงภาวนาคาถาอยู่นั้น

      อารมณ์สนใจเฉพาะแต่ในคาถาภาวนา

       ไม่มีอารมณ์โลภหรือรักในเพศ

      ไม่มีอารมณ์โกรธคั่งแค้น

      ไม่มีความคิดอย่างอื่นนอกจากบทภาวนา

      ไม่ง่วงเหงาหาวนอน

      ไม่เกิดความลังเลสงสัยในผลการปฏิบัติ

       มีจิตสงัดจากอารมณ์ภายนอกตามที่กล่าวมาแล้ว

               แต่ก็ทรงอารมณ์นั้นอยู่ในฌานไม่นาน ทรงได้สักประเดี๋ยวเดียว

      อารมณ์ตามที่กล่าวมาแล้วก็เข้ามารบกวน เมื่อรู้ตัวก็ตั้งต้นใหม่ อย่างนี้ท่านเรียกว่า "ขณิกสมาธิ" 

      เป็นสมาธิเล็กๆ น้อยๆ ไม่มาก ทรงอยู่ได้ไม่นาน

               อานิสงส์ในปัจจุบัน ทำให้เป็นคนพอมีความยับยั้งความรู้สึกที่เป็นโทษ 

      พออดใจไว้ได้บ้างในบางขณะ ส่วนในพระคาถาให้ผล พอมีทางได้แก้จนเมื่อถึงคราวจำเป็น 

      เรียกว่า พอตะเกียกตะกายเอาตัวรอดได้ เมื่อถึงคราวจำเป็น ในสัมปรายภพ 

      ท่านสมาธิขนาดนี้ให้เพียงเกิดในชั้นกามาวจรสองชั้น คือ ชั้นจาตุมหาราช กับชั้นดาวดึงส์ ชั้นใดชั้นหนึ่ง

       

               อุปจารสมาธิ ป็นสมาธิที่ใกล้จะเข้าระดับฌาน 

      มีอารมณ์ตั้งมั่นอยู่ได้นานเกินกว่าสมาธิก่อน มีลมหายใจค่อยละเอียดลง คือ มีอาการหายใจเบามาก

      มีความชุ่มชื่นในใจอย่างที่จะกล่าวได้ยาก มีความอิ่มเอิบชุ่มชื่นเบิกบาน

      มีอารมณ์สมาธิตั้งอยู่ได้นานพอสมควร มีการเห็นภาพแปลกๆ มีแสงสว่างปรากฏ

      มีอารมณ์เยือกเย็น

               ข้อที่ควรสนใจที่ถึงระดับนี้ก็คือ อย่ามัวหลงไหลในภาพที่เห็น เมื่อเห็นแล้วปล่อยเลยไป

      ตั้งใจรักษาอารมณ์สมาธิไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะรักษาได้

      หากไปหลงภาพและแสงสีแล้ว ต่อไปอารมณ์จะซ่าน สมาธิจะเสื่อมจะไม่ถึงดี

               สมาธิระดับนี้มีอานิสงส์ในปัจจุบัน คือ มีจิตอิ่มเอิบเบิกบาน หน้าตาชุ่มชื่นตลอดวัน 

      มีความอดกลั้นต่ออารมณ์ที่เข้ามายั่วเย้าได้ดีมาก มีเมตตาปราณีเกิดขึ้นแก่ใจอย่างคาดไม่ถึง 

      รักศีลมากกว่าการห่วงใยอารมณ์ภายนอก เกิดลาภสักการะขนาดใหญ่เสมอๆ 

      ผลงานจะเกิดแก่ผู้ปฏิบัติอย่างคาดไม่ถึงมาก่อน เมื่อละอัตภาพแล้ว 

      ท่านว่าอานิสงส์สมาธินี้ส่งผลให้เกิดชั้นยามา

       

       

               อัปณาสมาธิ เป็นสมาธิแนบแน่นเป็นอารมณ์ฌาน 

      คือ เมื่อขณะบริกรรม คือ ภาวนาอยู่นั้น มีอารมณ์ ๕ ของฌานครบถ้วน คือ

               ๑. นึกถึงบทภาวนา คือ คาถาอยู่เสมอมิได้ขาด

               ๒. ใคร่ครวญตรวจสอบว่าคาถาที่ว่านี้ขาดตกบกพร่องหรือไม่

      ลมหายใจเข้าออกนั้นก็กำหนดรู้ว่าหายใจเข้าหรือออก สั้นหรือยาวเมื่อหายใจเข้าออกนั้น

               ๓. มีความอิ่มเอิบปราโมทย์ ไม่อิ่มไม่เบื่อในการเจริญภาวนา

               ๔. มีความสุขใจสุขกายอย่างปราณีต ซึ่งไม่เคยประสบมาก่อนในชีวิต

               ๕. รักษาอารมณ์ไว้ได้มีเวลานานๆ และสามารถตัดกังวลรำคาญจากเสียงภายนอกเสียได้

      คือ แม้จะมีเสียงรบกวนเพียงใดก็ไม่มีความสนใจต่อเสียง ไม่รำคาญในเสียงรบกวนนั้น อย่างนี้ท่านเรียก ปฐมฌาน คือ ได้ปฐมฌานนั่นเอง

       

               อารมณ์ฌานขนาดนี้ย่อมมีอานิสงส์ในปัจจุบัน คือ มีผลเกิดจากเจริญภาวนาเป็นลาภใหญ่

       และเยือกเย็นไม่มีโทษ ไม่มีความเดือดร้อน ท่านนายห้างประยงค์ตอนที่ท่านเริ่มรวยนั้น 

      ท่านว่าท่านถึงตรงนี้ท่านก็เริ่มรวย นอกจากรวยแล้วยังเป็นบุคคลที่สังคมคนดีปรารถนา 

      เพราะเป็นฝ่ายประชาสงเคราะห์อยู่เสมอ ความสุขสดชื่นเกิดขึ้นอย่างบอกไม่ถูก 

      เป็นที่เคารพบูชาของคนทุกชั้น ในปุเรชาติคือชาติต่อไป 

      ท่านว่าฌานต้นนี้บันดาลให้ไปเกิดในพรหม ๓ ชั้น คือ ชั้นที่ ๑ ๒ ๓ ตามระดับฌาน

      ที่ได้หยาบละเอียดกว่ากัน 

       

      ฌานที่ ๒ อันนี้ถ้าเรียกเป็นสมาธิ ท่านเรียก อัปณาสมาธิเหมือนกัน

      แต่มีความละเอียดสุขุมกว่าระดับต้น คือ พอถึงฌานที่ ๒

      ท่านว่าความละเอียดของอารมณ์มากกว่าระดับก่อน จนมีอาการหยุดภาวนาไปเอง

      ไม่นึกไม่คิดอารมณ์ที่ภาวนาหรือลมหายใจอีก มีอาการเฉยต่ออารมณ์ที่เคยคิดนึกนั้น

      มีแต่ความปีติปราโมทย์อิ่มเอิบเข้ามาแทนที่ มีความสุขสงัดเกิดแต่วิเวก

      เป็นความสุขทางกาย และใจที่หาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้เลย

      มีอารมณ์แนบแน่นกว่าฌานที่หนึ่งมาก

               อานิสงส์ในฌานนี้ เรื่องลาภเกิดแนบแน่นนับไม่ได้ คือ ไม่ต้องคิดว่าจะหา 

      ลาภชอบมาหาเอง คือ อยู่เฉยๆ ก็มีคนแนะนำบอกให้เป็นลาภใหญ่เสมอ 

      มีขันตอธรรมประเสริฐมาก มีอารมณ์ชุ่มชื่น หน้าตาเบิกบานตลอดวันคืน 

      มีเมตตาปราณีเป็นที่รักของชนทุกชั้น และสมณชีพราหมณ์ทั่วไปตายไปแล้ว

      ท่านว่าคนที่ได้ฌานชั้นนี้ไปเกิดพรหม ๓ ชั้น คือ ชั้นที่ ๔ ๕  

      ตามความหยาบละเอียดของฌาน

       

      ฌานที่ ๓ มีอาการแตกต่างจากฌานที่ ๒ คือ ตัดความปีติปราโมทย์เสียได้หมด

      คงมีแต่ความสุขปราณีตละเอียดอ่อน มีความเยือกเย็นเป็นสุข มีอารมณ์ตั้งมั่นมาก

      เพราะอารมณ์ไม่ซ่านออกทางกายอย่างฌานที่ ๒ มีแต่ความสุขปราณีต

      และอารมณ์เป็นหนึ่งแนบแน่นไม่เคลื่อนที่ มีสภาพคล้ายกับเสาเขาปักไว้อย่างมั่นคงนั่นเอง

               อานิสงส์ปัจจุบัน เรื่องลาภไม่ต้องพูดกัน ดูท่านนายห้างประยงค์ก็แล้วกัน 

      เมื่อก่อนเจริญคาถานี้ ท่านบอกว่าเดือนใดท่านมีกำไรถึง ๒๐๐ บาท 

      ท่านว่าสองคนผัวเมียท่านดีใจจนนอนไม่หลับ 

      พอถึงตรงนี้วันนั้นหลวงพ่อปานเรียกไป ให้รับออกเงินสร้างเขื่อนหน้าวัด 

      ท่านว่าเท่าไรผมรับหมดครับ ผมไม่ท้อถอยแล้ว 

      สุดแต่หลวงพ่อจะบัญชามากี่หมื่นกี่แสนผมก็ไม่อั้น

              ท่านว่าท่านยิ่งทำท่านยิ่งมีมาก และมีอารมณ์ผ่องใสเยือกเย็น หมดกังวลต่อเรื่องได้เรื่องเสีย

      ไม่สนใจรสอาหาร ปฏิบัติการกินแบบจระเข้ คือ ถือกินอิ่มเป็นประมาณ เป็นพระที่น่าบูชาของคนทั่วไป

      ถึงแม้จะเป็นชาวบ้านก็มีอาการคล้ายพระ เมื่อละอัตภาพแล้ว ท่านว่า ฌานชั้นนี้ส่งผลให้ไปเกิดเป็น

      พรหม ๓ ชั้น คือ ชั้นที่ ๗ ,๘ ๙ ตามความหยาบและละเอียดของอารมณ์ฌาน

       

       

       

      ฌานที่ ๔ ฌานนี้เป็นอันดับสำคัญที่สุดของรูปฌาน คือ เป็นฌานที่สร้างฤทธิ์กายและทางใจ

      ให้เกิดแก่ผู้ที่ได้ฌาน ฌานชั้นนี้ตัดความสุขประณีตเสียได้ มีอารมณ์เป็นหนึ่งและความวางเฉย

      แยกกายกับจิตออกจากกันอย่างเด็ดขาด คือ ไม่รับรู้เวทนาทางกายเลย

      เรื่องปวดเมื่อยไม่ยอมรับรู้ อาการที่ถึงฌานนี้ที่จะกำหนดรู้ง่ายก็คือลมหายใจไม่มี

      เมื่อปรากฎว่าลมหายใจไม่ปรากฎ และมีอารมณ์เฉยต่อเวทนาใดๆ แล้ว

      จงรู้เถิดว่าตอนนี้ท่านชักจะเป็นคนเต็มโลก คือ ครบโลกียฌานแล้ว เรื่องนรกสวรรค์

      หรือถ้าอยากรู้ไปเสียเดี๋ยวเดียวด้วยอำนาจมโนมยิทธิ

      และนอกจากนั้นยังมีฌานเป็นเครื่องรู้ เช่น ทิพจักขุญาณ รู้อดีตอนาคต รู้นรกสวรรค์

      รู้การเกิดของสัตว์ รู้ผลกรรมของสัตว์ รู้สุขทุกข์ในใจของสัตว์

      ระลึกชาติได้ด้วยอำนาจของฌานที่ ๔ นี้

               หากประสงค์มรรคผลนิพพานก็เอาฌานและญาณ เป็นพี่เลี้ยงช่วยวิจัยตามสายของวิปัสสนา 

      ก็จะมีญาณเป็นเครื่องรู้แจ้งเห็นจริงได้ชัดเจนแจ่มใส 

      จัดเป็นอานิสงส์ในปัจจุบันที่แสวงหาได้ยากยิ่ง เรื่องลาภนั้นไม่ต้องคำนึง

       เพราะจะท่วมล้นความต้องการ เมื่อละสังขารท่านว่าด้วยอำนาจฌานที่ ๔ 

      จะบันดาลให้ไปเกิดในพรหมชั้นที่ ๑๐ และ ๑๑ เป็นยอกของฌานโลกีย์ฝ่ายรูปฌาน

               เป็นอันว่า การปฏิบัติคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า อันเป็นวิสัยที่จะช่วยชาวบ้าน

      ให้มั่งคั่งสมบูรณ์ในโภคทรัพย์นี้ หากท่านนักปฏิบัติมีความปรารถนาเพื่อความดีสูงสุดแล้ว

      และปฏิบัติตามแนวสมถภาวนา ก็จะมีผลตามที่กล่าวมาแล้วนั้น

      ขอยุติคำอธิบายในการปฏิบัติพระคาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไว้เพียงเท่านี้

       

               (คัดลอกจาก "หนังสือคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า" ของพระครูวิหารกิจจานุการ (หลวงพ่อปาน สุทธาวงษ์) วัดบางนมโค อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา พิมพ์แจกในงานทอดกฐินและผ้าป่าสามัคคี พ.ศ. ๒๕๐๕ โดย...พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) สมัยหลวงพ่อท่านอยู่ ณ วัดสะพาน อ.เมือง จ.ชัยนาท)

       

      ส่วนหนึ่งจากคำสอนของหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน

      ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง

      ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ

      จนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆ

       

      หากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ

       เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่า..........

      ไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก 

      เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น

       

             **

      องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้าน

      เพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคน

      ดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า

      นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา 

      ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย

       

       

      ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเรา

      เสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆ

      ท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ 

      ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย

       แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ

       

       

      องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า.......ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน 

      วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก 

      จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือ

       

      ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดี

      ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ


      ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง 

      กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง 

      ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้

      จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา

       

      ในการเพาะปลูก  ก่อนปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หว่านข้าว ดำข้าว   ก็ว่าคาถาบทนี้ จบ ตามวิธีการของท่าน(หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค)

      ในการปลูกพืชผัก ผลไม้ ที่ต้องการได้ผลดี ก่อนปลูกว่าพระคาถาก่อนปลูก ๓-๕-๗-๙ จบ ก่อนจึงลงมือเพาะปลูก หรือพืช ผัก ผลไม้ ที่ปลูกไว้อยู่แล้ว ก็ใช้ได้ โดยเวลารดน้ำ ให้ว่าพระคาถากำกับไปด้วย

      ผู้ที่ทำนาเมื่อจะหว่านข้าวเปลือกนาอันไหน 

      พันธุ์ข้าวที่จะหว่านกำแรกก็ว่าพระคาถานี้ ๓-๕-๗-๙ จบ ก่อน 

      เมื่อหว่านข้าวหมดแล้วก็ให้ว่าพระคาถานี้อีก ๓-๕-๗-๙ จบ 

      ข้าวจะงอกงาม แมลงและสัตว์ที่เป็นอันตรายกับต้นข้าวจะไม่รบกวนต้นข้าวเลย

      ๖. วิธีเก็บเงินด้วยคาถาเงินล้าน   วิธีการปฏิบัติเพื่อเจริญอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าห้ามพูดนะถ้ารู้ว่าเงินเกิน   เวลาที่เราบูชาพระด้วยคาถาบทนี้กี่จบ

       ✪  เวลาที่จะเก็บสตางค์  ให้ถือสตางค์ไว้   แล้วยื่นลงไปในที่สำหรับเก็บ มือมันกำสตางค์อยู่   แล้วว่าคาถาบทนี้เท่านั้นจบ  ว่าเสร็จแล้วปล่อยมือออกเป็นอันว่าใช้ได้

      ✪   เวลาจะนำสตางค์ไปใช้  ท่านให้หยิบสตางค์อันนั้น..แต่ว่าห้ามนับเงิน   แล้วว่าคาถาตามจำนวนที่เราบูชาพระ ดึงเอาเงินนั้นออกมา    ถ้าเกินกว่าจำนวนที่เราต้องการ เวลาที่เราจะเก็บเราก็ว่าคาถาแบบนี้เหมือนกัน

      ถ้าทำแบบนี้ท่านบอกว่า...”เงินจะขาดที่นั้นไม่ได้เลย”

      ถ้าบางครั้งปริมาณเงินที่เราเก็บไว้   สมมุติว่าเป็นเงิน ๑๐๐๐ บาท มันเป็นปึก   เราดึงมาทั้งปึก(๑๐๐๐ บาท) แต่ปรากฏว่าเงินมันมีอีก   ห้ามนำไปพูดกับคนอื่น   ถ้าพูดเงินจะหดท่านห้ามอวด   อั้นนี้นายห้างประยงค์ เคยไปเล่าให้ฟังเหมือนกัน ท่านทำได้ผลตามนี้ และทำได้เป็นคนแรก   หลังจากขอเรียนจากหลวงพ่อปาน

      (คัดลอกจาก : อานิสงค์คาถาพระปัจเจกโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นแบบของ คาถาเงินล้าน  ที่หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านได้กรุณาต่อเติมมาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น “คาถาเงินล้าน” ที่สมบูรณ์แบบที่สุด ซึ่งวิธีใช้พระคาถา ก็คงไม่แตกต่างกัน และใช้ได้แบบเดียวกัน แต่ผลอาจจะเพิ่มมากขึ้นหรือไม่ นั่นก็สุดแล้วแต่ความเพียรพยายามของผู้ปฏิบัติ หยง เมืองดง ผู้รวบรวม)

       

      . ถ้าอับจนเงินตึงตัว สวดอย่างน้อย ๓๐ จบต่อวันการเงินจะดีขึ้น... (ธรรมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๒๑ หน้า ๗๑) หรือ อาจจะมากกว่านั้นก็ต้องแล้วแต่ความเพียรพยายามของแต่ละบุคคล อาจจะวันละ ๑๐๘ จบ ๓๐๐ จบ หรือ เป็น ๑๐๐๐ จบ ไปเลยยิ่งดี แต่หากจะให้ดี นึกได้ตอนไหนก็สวด(ในใจหรือออกเสียง)ตอนนั้น จะทำให้จิตทรงอารมณ์เป็นฌาน ผลก็จะมากตาม(ท่านว่าอย่างนั้นนะครับ)

           อย่างหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า...

      ขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญา

      คนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ

      ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งๆเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ

      โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ 

      เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา

       

      โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบ

      ก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....

      จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ

      ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......

      ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

      เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น

       

      การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย 

      เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ

       เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว 

      ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น



       

      ๘.ใช้คาถานี้ร่วมกับ พระคำข้าว-พระหางหมาก -จะรวยใหญ่ (สนทนาธรรมเล่ม ๖ หน้า ๓๙)

      ๙.ยันต์ยอดธงพิชัยสงครามใช้คู่กับคาถาเงินล้านได้ (สนทนาธรรมเล่ม ๖ หน้า ๓๖)

      ๑๐.พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรดบอกว่า...

      "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน 

      ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

      (จากท่านหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน)

       

      คาถาบทนี้มีลาภมาก ใครที่ภาวนาไปแล้วจะมีความเป็นอยู่เป็นสุข มีลาภสักการะมาก ถ้าทำจิตเป็นสมาธิ สมาธิสูงเท่าไร ลาภมากเท่านั้น ขณะภาวนาไม่ต้องไปอยากได้เงิน ได้ลาภ เพราะคาถาก็บอกอยู่แล้วเป็นคาถาเงินล้าน ผลก็เป็นไปตามนั้น จะมากน้อยต่างกันก็ตามอัตภาพบุญวาสนาที่สั่งสม ถ้าสมาธิสูงขึ้นมา การทำมาหาได้ ลาภสักการะก็มากขึ้นจริงๆ หนักๆเข้าก็มีหลายท่านจิตก็เข้าถึงทิพยจักขุญาน สามารถรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้ตามที่ตนปรารถนา " อันเป็นผลมาจากพุทธานุสติของคาถา ทิพยจักษุก็จะแจ่มใส ด้วยพุทธานุภาพและเป็นเหตุให้บรรลุธรรมได้โดยง่าย

      (พระศุภกิจ ปภัสสโร เรียบเรียง)

       

      ๑๑.ตวงข้าวสารที่เคยรับประทาน เดือนหนึ่งหมดเปลืองเท่าไร 

      ปฏิบัติพระคาถาพระปัจเจกโพธิ์ถึงเดือนหนึ่ง 

      จะเหลือข้าวสารเท่าไร ปฏิบัติติดต่อทุกๆ เดือนไป 

      ข้าวสารจะหมดหรือลดน้อยลงเท่าไร ข้าวสุกหุงแล้วเหลือไว้มื้อหลัง 

      และมื้อต่อๆ ไปจะไม่บูด และผู้ที่ตกข้าวเปลือก เมื่อจะขนเข้ายุ้งหรือพ้อม 

      ตวงถังแรกให้ว่าพระคาถานี้ ๓-๕-๗-๙ จบ 

      ตวงถังสุดท้ายก็ให้ว่าพระคาถานี้อีก ๓-๕-๗-๙ จบ เช่นเดียวกัน 

      แล้วให้จดไว้ว่ามีอยู่กี่เกวียน กี่บั้น กี่ถัง ครั้นเมื่อจะขนออกจากยุ้งหรือพ้อม 

      เพื่อการค้าหรือใช้เอง 

      ตวงถังแรกให้ว่าพระคาถานี้ก่อน ๓-๕-๗-๙ จบ 

      ตวงถังเมื่อจะเลิกก็ให้ว่าพระคาถานี้อีก ๓-๕-๗-๙ จบ เหมือนกัน 

      แล้วให้จดไว้ว่ามีกี่เกวียน กี่บั้น กี่ถัง 

      ให้สังเกตว่าข้าวเปลือกจะตวงได้มากออกไปกี่เกวียน กี่บั้น กี่ถัง

       ก็คงจะรู้สรรพคุณของพระคาถานี้ได้

       

      ๑๒.ผู้ที่ทำการค้าขาย เวลาจะซื้อหรือเวลาจะขาย

      ก็ให้ว่าพระคาถานี้ ๓-๕-๗-๙ จบ 

      ค้าขายจะมีกำไร ทรัพย์สินก็จะงอกงามผิดปกติ

       

      ผู้ที่ทำราชการหรือทำงานรับจ้าง ทำนา ทำสวน ค้าขาย 

      หรือเป็นแม่ครัวหุงข้าว ต้มแกงเป็นต้น

       เมื่อจะทำให้ว่าพระคาถานี้ก่อน ๓-๕-๗-๙ จบ 

       

       

      ๑๓.หรือถ้าจะถามพระคาถานี้เป็นการเสี่ยงทายก็ได้ 

      การถามควรถามครั้งละ ๑ อย่าง อย่าถามหลายๆ อย่างรวมกัน จะไม่เกิดผล

      ถ้าถามครั้งละอย่างจะได้ผลดี

      คือผู้ใดจะคิดทำอะไรดีไม่ดี ก็ให้บูชาพระคาถานี้ด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน

      แล้วหักไม้วัดให้ยาวเสมอคืบของตนพอดี และว่าพระคาถานี้

      แล้วจงอธิษฐานว่า สิ่งที่ตนนึกตนคิดอยู่ในเวลานี้ 

      ตนจะทำเป็นผลสำเร็จดีงามแล้ว ขอให้ไม้วัดยาวออกไปกว่าคืบ 

      ถ้าจะไม่เกิดผล ไม่ดีไม่งาม ขอให้ไม้นี้สั้นเข้ามาไม่ถึงคืบ 

      ได้มีผู้ปฏิบัติเห็นผลจริงแล้วมากราย

       

       

       

               ผู้ใดทำได้ละเอียดเรียบร้อยดังกล่าวมาแล้วนี้ และปฏิบัติการข้างต้นอย่าให้ขาดได้ 

      จะเห็นคุณและมีลาภมาก จะมีของสิ่งไรอยู่ ใช้ไม่ค่อยหมดเปลืองเหมือนเช่นเคย

       มีแต่งอกงามเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป 

      จะทำนา ทำสวน รดน้ำพรวนดิน เพาะปลูก หรือซื้อขายสิ่งใดๆ 

      ให้บูชาพระคาถานี้ก่อนทุกๆ ๓-๕-๗-๙ จบแรก 

      และทุกๆ ๓-๕-๗-๙ จบหลัง

       

               ฉะนั้นจึงพิมพ์แจกในงานนี้ เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ทั่วไปถ้าใครทำเห็นผลพิสดารอย่างไรก็ขอให้บอกเล่ากันต่อๆ ไป ด้วยเพื่อบุญกุศลในครัวเรือนหนึ่ง ควรเล่าบ่นพระคาถานี้ให้ได้ทุกๆ คนในครัวเรือนนั้นแล้วผลัดกันใส่บาตร ถ้าหากว่าใส่บาตรไม่ทัน จบเอาไว้แล้วนำเอาไปถวายพระเช้าหรือเพลก็ได้

      หรือจบแล้วฝากคนอื่นใส่แทนก็ได้ แต่ระวังอย่าให้ขาดหรือเว้นได้จนวันเดียวลาภที่เกิดแล้วแต่หนหลังจะได้ไม่ถดถอยไป

       

               ถ้าท่านผู้ใดนำเอาพระคาถา หรือหนังสือนี้ไปเรี่ยไร หรือซื้อขายแรกเปลี่ยน จะทำพระคาถานี้ไม่สำเร็จไม่เกิดผล เพราะท่านเจ้าของไม่พึงปรารถนาในเชิงนี้ ท่านยินดีให้เป็นธรรมทานจริงๆ

       

      ฉะนั้น ถ้าผู้ใดต้องการอยากได้ ก็ขอให้คัดลอกเอาไปเป็นทานอย่าได้คิดผลประโยชน์ต่อผู้ที่คัดลอกเป็นอันขาดหรือท่านผู้ใดสนใจต้องการหนังสือพระคาถานี้ ให้ขอไปยังข้าพเจ้า ยินดีให้ท่านเสมอไม่ยอมให้เมื่อฝากคนอื่นขอแทนผู้ใดจะปฏิบัติพระคาถานี้เพื่อความสุขความเจริญต่อไปภายภาคหน้าตลอดบุตร หลาน เหลน ให้วงศ์ตระกูลของท่านแล้วโปรดทราบไว้เพื่อความสุขอันยืนยาวนาน เทอญ



       

       

      วิธีทำให้คาถาเงินล้านสัมฤทธิ์ผล

      หรือให้ได้ผลตามที่ต้องการ

       

      ๑.   สวดคาถานี้จบแรก...หลวงพ่อฤๅษีกำชับให้นึกขอบารมีพระพุทธเจ้าคาถาจึงมีผล : (พระศุภกิจ ปภัสสโร)

       

      ๒.                       มีความเคารพต่อ พระรัตนตรัย อันมี พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์  พระธรรม  พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค  และหลวงพ่อฤาษีฯ เป็นที่สุด  คือเคารพด้วยใจจริง มีความบริสุทธิ์ใจ

      หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านกล่าวว่า...“ท่านย่ากับแม่ศรีก็ขึ้นไป ท่านย่าบอกว่า อำนาจพุทธานุภาพก็มีแล้ว สังฆานุภาพก็มีแล้ว พรหมานุภาพกับเทวานุภาพก็ช่วยแล้ว แต่ว่าถ้าบรรดาลูกหลานมันยากจน และปี ๒๕๒๘ มันจะเครียด ขอพรพระพุทธเจ้า ขอคาถาสักบท (ที่ท่านให้ฉันไว้นี่) ขอให้ลูกๆ หลานๆ ใช้เถอะ แล้วท่านก็ให้อนุมัติ

      ความจริงคาถาเฉพาะนี่จะให้ใครไม่ได้เลย ท่านก็เลยบอกว่า

      ถ้าอย่างนั้นไปพิมพ์แจก และก็ให้มันทำด้วยความเคารพ

      ฉันไม่ยืนยันว่าคนที่ไม่เคารพฉัน จะมีผล จำให้ดีนะ

       

      หลวงพ่อ(วัดท่าซุง)เมตตาเล่าให้ฟังว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ มีเงินติดย่ามมาร้อยเดียว “เงินร้อยสมัยปี ๒๕๑๑ มันหายากนะ...” ท่านใช้ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับทำงานก่อสร้างไปเรื่อย มี “พระ” ท่านมาบอก คาถามหาลาภ ซึ่งทางวัดพนัญเชิงเขาเคยใช้ เจ้าอาวาสวัดพนัญเชิงองค์แรกใช้ภาวนาอยู่สามปี วัดนั้นจึงมีลาภมากมาจนทุกวันนี้ หลวงพ่อก็ว่าของท่านเรื่อยไป...

                    มาปีหนึ่งกำลังบวงสรวงอยู่ “พระ” ท่านบอกคาถาอีกบทว่าเป็นคาถาเงินแสน พอหลวงพ่อใช้ดู ปีนั้นกฐินได้เงินแสนกว่า สมัยนั้นจะหาซักหมื่นยังยากเลย ปีถัดมา “พระ” ก็บอกอีกบท ว่าเป็น คาถาเงินล้าน ให้ว่าต่อเนื่องกับบทก่อน แล้วลงท้ายด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ปรากฏว่าได้เงินเป็นล้านจริง ๆ และรายรับดีขึ้นทุกทาง จึงกล้าเป็นหนี้เขาทีละมาก ๆ

                    ต่อมา หลวงพ่อรวบรวมคาถาต่าง ๆ เป็นบทเดียว พิมพ์แจกเป็นของขวัญปีใหม่ปี ๒๕๒๘ ท่านบอกว่า เป็นเพราะ “ท่านย่า” กับ “ท่านแม่” ไปช่วยขอความกรุณาจาก “พระ”ว่า ในปี ๒๕๒๘ นั้นสถานการณ์ด้านต่าง ๆ จะเครียดมาก ถ้าลูกหลานไม่มีความคล่องตัว ก็ช่วยเหลือหลวงพ่อได้ไม่เต็มที่ การก่อสร้างของวัดจะชะงักลง “พระ” ท่านจึงอนุญาตให้บอกคาถาเหล่านี้แก่ญาติโยมได้...

                    “พระ”ท่านว่า คาถานี้ทุกคนต้องทำด้วยความเคารพ ถ้าไม่เคารพจะไม่มีผล

       

      ๓.อย่าสวดคาถา ด้วยความอยากรวย หรือความโลภ เพราจะทำให้ใจไม่สงบ ไม่มีสมาธิ  ตามปรกติแล้วใจที่มีความโลภ ความอยากนั้น เป็นใจที่มีกิเลสห่อหุ้ม สมาธิก็ไม่เกิด คาถาก็ไม่เกิดผล

      “พระพุทธเจ้าบอกนี่ต้องเชื่อ ต้องใจเย็นๆ ไม่ใช่ไปเร่งรัด ถ้าว่าไปแล้ว คิดว่าเราต้องรวยนี่เสร็จพัง ต้องว่าด้วยจิตเคารพ”   หลวงพ่อฤาษีฯ

      หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ท่านได้ไห้ข้อคิด และการทรงกำลังใจในการสวดคาถาไว้ใจความว่า....คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้

       

      ให้ทำ เพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ 

       

      หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ อีกข้อหนึ่ง อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะๆ อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไป ก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

       

      ๔. มีความเชื่อมั่น ศรัทธาในพระรัตนตรัย และครูบาอาจารย์  ความเชื่อมั่นความศรัทธา ถ้าแปลให้เข้าใจในสมัยนี้ก็แปลได้ว่า “ความมั่นใจ”   มั่นใจว่าพลังอำนาจของพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ของเรานั้นมีคุณ มีอานุภาพจริง  มีความเชื่อภายใต้พลังของปัญญา ที่พิจารณามาอย่างดีแล้ว  หรือ การทีเราได้มีความมุ่งมั่น เพียรพยายามที่จะทำตามเหตุ ตามผล  เพราะว่าสิ่งที่มีคนเขาทำได้แล้วหนึ่งคน คนต่อไปก็ต้องมีคนทำได้  ให้คิดว่า...คนอื่นเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้

      คุณทำได้ ถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ นโปเลียน ฮิลล์ กล่าว”

       

      หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ได้บันทึกให้ความรู้แก่เราไว้ว่า....

                    อยู่มาวันหนึ่ง อาตมาตื่นตีสามตามปกติ ก็ว่าคาถาซะ ๑ จบก่อนจะไปสรงน้ำ ทำกรรมฐาน พอว่าจบลืมตาขึ้นมา ฟ้าสว่างโร่เลย...! คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน เดินงงไปตลอดทาง เราไม่ได้หลับ สติไม่ขาดไม่เคลิ้ม อารมณ์ต่อเนื่องเป็นหนึ่งเดียว รู้ตัวตลอดเวลา ทำไมคาถาสั้น ๆ บทเดียวใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง...!

                    รุ่งขึ้นลองดูอีกที คราวนี้ได้ตั้งสามจบแน่...! ตั้งแต่นั้นมา ทั้ง ๆ ที่บวชใหม่นั่นแหละ ลาภผลเงินทองไม่รู้ว่าไหลมาเทมาจากไหน รับกันไม่หวาดไม่ไหว ใครจะทำบุญสุนทานอะไร ร่วมกับเขาทุกรายการ รายการละไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ บาท ช่วยเป็นเจ้าภาพบวชพระ – บวชเณร เป็นว่าเล่น ถวายสังฆทานแทบทุกเดือน ใครเดือดร้อนเรื่องเงินละมาได้เลย...

                    เงินมาเป็นเทออก ยิ่งเทก็ยิ่งมา อาตมาเพิ่มจากวันละสามสิบจบ เป็นวันละหนึ่งร้อยยี่สิบจบ เชื่อหรือไม่ว่า ให้ความคล่องตัวขนาดอาตมาขึ้นรถฟรีแทบทุกคัน คือ ถ้าเราไม่ยัดเยียดให้เขาจริง ๆ เขาก็ไม่รับ ขนาดพระกับพระนั่งไปด้วยกัน เขาเก็บค่ารถองค์อื่น เว้นอาตมาไว้องค์เดียว ยัดให้เขาก็ไม่รับ จะไปไหนแทบจะไม่ต้องพกเงินเลย...

                    จากร้อยยี่สิบจบเพิ่มเป็นสามร้อยจบ คราวนี้อาหารการกินก็พลอยฟรีไปด้วย บางทีทนไม่ไหวบอกเขาว่า “อาตมามีเงินนะโยม” เขาก็บอกว่า “ผมถวายครับ” “หนูถวายเจ้าค่ะ” เคยทำสถิติจากอุทัยธานีมากรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ-กลับอุทัยธานี ระหว่างที่อยู่กรุงเทพฯ นั่งแท็กซี่อย่างเดียว ปรากฏว่าสิ้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดสามบาท...! สามบาทจริง ๆ...!

                    พยายามจะใช้เงินให้หมดก็ไม่มีวันหมด ลองถึงขนาดสามทุ่มซื้อน้ำหวานถวายพระจนหมดตัว สี่ทุ่มเขาเรียกไปสวดศพรับเงินมาจนได้ จะไปธุดงค์เทกระเป๋าทำบุญเกลี้ยง ก็มีคนตามถวาย หมดเมื่อไรได้ทันที เขาถวายจนระอาใจ ต้องพกเงินไปธุดงค์ด้วย ทุเรศตัวเองชะมัดเลย...

                    มาถึงตอนนี้ อาตมาหมดความสงสัยโดยสิ้นเชิง ของอะไรทำจริงย่อมได้ผลจริง หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกว่า “เรื่องวัตถุทางโลก ผมไม่หนักใจเลย” ท่านพลางชี้ให้ดูอาหารที่มากมายจนล้นโต๊ะ กินไม่ไหวใช้ไม่หมด “ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในอานุภาพพระรัตนตรัยจริง ๆ ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น...” 

       

      ๕.                        ทำสมาธิภาวนาด้วยคาถา ยิ่งจิตมีสมาธิมากเท่าไหร่ ผลก็จะยิ่งเกิดตามมามากขึ้นเท่านั้น หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง  ท่านได้บันทึกไว้ใน อานิสงส์คาถาพระปัจเจกโพธิ์ ถึงผลที่จะเกิดถ้าทำเป็นสมาธิภาวนา ใจความว่า...

      ”การทำสมาธินี่ ไม่ต้องนั่งก็ได้  ถ้าว่างตอนไหนก็นึกว่ามันเรื่อยไป ขายของอยู่ ทำงานอยู่ พอว่างนิดก็ว่าไป  เดินไปนึกขึ้นได้ก็ว่าไป  คาถาวิระทะโย นี้ใครทำเป็นสมาธิได้  ถ้าทำถึงอุปจารสมาธิ ตอนนี้เงินไม่ขาดตัวแน่  ถ้ามีความจำเป็นมากจริงๆ มักจะหาได้ทัน  ถ้าเข้าถึงปฐมฌานตอนนี้ล่ะขังตัว ไม่ใช่พอใช้นะ เหลือใช้เลย  แต่ต้องทำได้ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปนะ”

       

      ปล. คาถาพระปัจเจกโพธิ์ และคาถาเงินล้าน ใช้วิธีปฏิบัติเหมือนกัน

      คำสอนของ หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน.....

      การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น

      ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว 

      ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ

      จนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆ

      หากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดี

      มันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....

      ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ 

      อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม 

      ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก 

      เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้  

      ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น


      องค์พระปัจเจกพุทธเจ้า  

      ต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุด

      ที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคน

      ดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า 

      นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา 

      ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย

      ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ 

      ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา

      ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆ

      ท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลย

      แต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ 

      ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ

      องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า.......

       

      ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมง

      จะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน

      เงินทองก็จะไม่ขาดมือ

      ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ


       

       

      วิธีภาวนาคาถาเงินล้านให้บังเกิดผลวิธีที่ 1


      ถาม : ตอนนี้ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน

       

      ตอบ : ไปเอา คาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุง มาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา

       

      ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา

      ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ?

      ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่..

      ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น

      ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?

      ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว

      ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ?

      ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง

       

      แต่เขาบอกต่อๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน

      ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก

      ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง

      ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุดๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย

      ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน

      ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ?

      ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยันทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริงๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่

       

      สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

      เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔

       

       

      วิธีภาวนาคาถาเงินล้านให้บังเกิดผลวิธีที่ 2


      ถาม : เรื่องลดค่าเงินบาท ?

      ตอบ: ไม่ต้องถามจ้ะ เอาคาถาเงินล้านไปตั้งใจท่องอย่างจริงๆ จังๆ มันฟื้นเร็ว

      ถาม : ท่องวันละ ๙ จบ ?

       

      ตอบ: รู้มั้ย ? อาตมาเคยท่องวันละ ๑,๒๐๐ จบ จำไว้ว่าถ้าอยากรวยทำแค่นั้นนะเหรอ ? เยอะๆ หน่อย ๓๐๐,๕๐๐ จบไปเลยก็ได้ ท่องไปเลย ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ คาถาเงินล้านมีเคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่าอย่าทำเพราะอยากได้ให้ทำ เพราะว่าเป็นของดีที่สุดครูบาอาจารย์ให้ไว้ หน้าที่ของเราก็คือรักษาสมบัติครูบาอาจารย์ด้วยการท่องบ่นภาวนาเป็นปกติ อีกข้อหนึ่ง อย่าทำเพราะอยาก ว่าไปเยอะๆ อาตมาเริ่มต้นขึ้นมา ๓๐ ต่อไป ก็ ๓๐๐ มีแต่มากขึ้น ไม่มีน้อยลง ปัจจุบันนี้นึกได้เมื่อไรว่าเมื่อนั้น

       

      ถาม : จะดีขึ้นมั้ยครับ ?

      ตอบ: ถ้าหากว่าเอาคาถาเงินล้านไปทำ ทุกอย่างมันจะดี เพราะคาถานี้เป็นเรื่องของลาภผลโดยตรง แล้วห้ามบ่นว่าเหนื่อย ถ้าหากว่าเกี่ยวกับเรื่องการงานมันมาชนิดทำกันตายไปข้างหนึ่งเลย

      ถาม : หนักไปทางสวดมนต์

      ตอบ: อันไหนก็ได้ ขอให้เป็นการทำความดีเท่านั้น ในเมื่อเราสวดมนต์เก่ง ก็สวดคาถาเงินล้านแทนไปเลย

      ถาม : ๙ จบน้อยไป ?

       

      ตอบ: น้อยไป น้อยมาก อาตมาเองเล่นทีหลายๆ ร้อยจบมาหลายปีแล้ว มีอยู่ ๓ ปีเต็มๆ ที่ภาวนาคาถาเงินล้านวันละ ๓๐๐ จบเป็นอย่างน้อย ภาวนาไป ชักลูกประคำไปจน ๒ ข้างด้านเป็นเม็ดเบ้อเร่อเลย ลูกประคำเส้นนั้น โดนเขาปล้นไปแล้ว เพราะว่าชักมันจนเป็นแก้วไปเลย คิดดูแล้วกัน มือถูกับไม้จนกระทั่งไม้ใสเป็นแก้วไปเลย เป็นยังไงล่ะ ? ถ้าไม่ทำจริงๆ ขนาดนั้นไปไม่รอดหรอก

       

      ทำเพราะว่าอาตมาเชื่อครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่าอะไรก็เป็นอย่างนั้น ตลอดเวลาที่เริ่มต้น ตั้งแต่รู้จักศึกษาวิชาการที่สอนให้ ทุกอย่างเป็นไปตามนั้นหมด ในเมื่อท่านบอกว่าคาถาเงินล้านทำแล้วรวย

       

      สมัยหลวงปู่ปาน ก็มีนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่านทำแล้วรวยเป็นหลักเป็นฐาน มาถึงรุ่นหลวงพ่อ ไม่มีใครทำจริงๆ อาตมาก็เลย...กูทำเองก็ได้ อาตมาใช้เวลาสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเกาะพระฤๅษี เวลา ๑๓ เดือน สร้างครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างจากพื้นดินเปล่าๆ ปัจจุบันนี้ทำที ๔-๕ วัดพร้อมๆ กันโดยไม่กลัวไม่มีสตางค์ เพราะว่าคาถาบทนี้บทเดียว ไปทำเถอะ

       

      ถาม : งานขาดทุน สับสน?

      ตอบ: ไม่ต้องสับสนอะไรทั้งนั้น ถ้าเรามาถึงจุดนี้แล้ว โยมมีสมเด็จคำข้าวหรือสมเด็จหางหมาก สมัยหลวงพ่อไหม ? ถ้าหากว่าไม่มีไปหามาแล้วใช้ควบคาถาเงินล้าน ทุกอย่างจะคล่องหมด ขอให้ทำจริงๆ เท่านั้น ทุกอย่างจะคล่องตัวหมด

       

      เคยภาวนาแล้วอยากจะรู้ว่า ในแต่ละวัน ถ้าเราตั้งหน้าตั้งตาภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้าๆ สติจับตามอยู่ตลอดทุกคำ ประเภทที่เรียกว่าเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ จะดูว่าได้เท่าไร ปรากฏว่าตั้งแต่ตี ๓ ยัน ๑ ทุ่มของแต่ละวัน จะได้ประมาณ ๑,๒๐๐ จบ จะมีเวลาหยุดกินข้าว ตีซะว่า ๒ มื้อ ๑ ชั่วโมงแล้วกัน ตี ๓ ถึง ๑ ทุ่มทำอยู่ทุกวัน ทำอยู่ประมาณ ๓ เดือนเต็มๆ ทำจนกระทั่งคำนวณได้ว่าแต่ละวันจะได้ประมาณ แต่ถ้าท่องเร่งๆ ได้เยอะกว่านั้นเยอะ แต่นี่ประเภทเอาคุณภาพกันเลย ทำให้มันจริงๆ ซะที อาตมาเอาต้นทุน ๓๐๐ นี่ล่อซะ ๓ ปีเต็มๆ เสร็จแล้ว ๑,๒๐๐ จบนี่เล่นอยู่ประมาณ ๓ เดือน แล้วหลังจากนั้นมาเปลี่ยนเป็นนึกได้เมื่อไรก็ว่าเมื่อนั้น ไอ้เรื่องนับจบเลิกนับแล้ว

       

       

      สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

      เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)

      ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

       

       

       

       

      ตัวอย่างของผู้ที่ใช้คาถาเงินล้าน

      และคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เกิดผลมาแล้ว

       

      ๑.       ครูผึ้ง

      ผู้เป็นปฐมอาจารย์ คาถาพระปัจเจกโพธิ์

      สำหรับประวัติของครูผึ้งสมัยนั้นแปลกดีมาก ครูผึ้งคนนี้มีคติว่าร้อยบาท

      ใครเขาจะแต่งงานไปบอกแกแกให้หนึ่งร้อยบาท งานโกนจุกหนึ่งร้อย

      บวชพระหนึ่งร้อย แกมีคติแบบนี้ ใครไปบอกบุญแก แกขอทำบุญด้วยร้อยบาท

      อย่าลืมนะว่าสมัยนั้นเงินครึ่งสตางค์ หนึ่งสตางค์มีค่ามาก

      เงินร้อยบาทสมัยนั้นมันมากกว่าเงินเดือนของร้อยตรีอันดับหนึ่ง

      ถ้าใครมีเงินร้อยบาทละก็เริ่มรวยแล้ว แต่แกทำบุญครั้งละร้อยบาท

      ก็เป็นที่น่าแปลกใจเหมือนกัน

       

              หลวงพ่อปานท่านไปพบเข้า คุยกันรู้เรื่อง แต่ว่าท่านพบของท่านอย่างไรก็ไม่ทราบนะ

      วันนั้นหลวงพ่อปานท่านจำวัดอยู่ ฉันนั่งข้างนอก ตอนเย็นมีคนใส่เสื้อราชปะแต็น

      นุ่งผ้าม่วง สวมถุงเท้า ใส่รองเท้าแบบชั้นดีเลย ถือไม้เลี่ยม เดินเข้ามาหาหลวงพ่อปาน

       

               มาถึงก็ถามว่า "หลวงพ่อปานอยู่ไหม?"

               ไอ้เราก็บอกว่าอยู่ "อยู่ แต่ว่ากำลังจำวัด"

             แกก็บอกว่า "ฮึ จำวัดอย่างไร ก็สั่งให้ฉันมาพบ ไปตามฉันมาที่นี่"


               แล้วกัน หลวงพ่อปานท่านนอนอยู่กับเรา หาว่าท่านไปตามมาได้ เราก็แปลกใจ

      แต่ก็บอกแกให้รออยู่ข้างนอกก่อน จะเข้าไปดูให้ พอเข้าไปก็เห็นว่าหลวงพ่อท่าน

      เตรียมตัวจะออกมาแล้ว เลยถามท่าน

       

               "หลวงพ่อครับ เขาบอกว่าหลวงพ่อไปตามเขามาหรือ ?"

           หลวงพ่อปานบอก "ฮื่อ...แกไม่ต้องรู้หรอก" 


               เอาอีกแล้ว ท่านบอกแกไม่ต้องรู้หรอก เป็นความลับ เออ...แปลกดี

               พอออกมาเจอกันแล้ว ท่านก็คุยถึงเรื่องประวัติ คุยไปคุยมา ครูผึ้งก็บอกว่า....

       

               "คาถาบทนี้เป็นของพระธุดงค์ พระธุดงค์ท่านบอกว่า 

      คาถาบทนี้เป็นคาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านมาปักกลดอยู่หลังบ้าน ๗ วัน

      ฉันก็เอาของไปถวายท่านทั้ง ๗ วัน"


               ตามปกติครูผึ้งท่านรักษาศีลอยู่แล้ว ก่อนที่พระธุดงค์จะไป

      ท่านได้ให้คาถาบทนี้และบอกว่า

              ตอนเช้าทุกวันควรใส่บาตรทุกวัน ก่อนจะใส่บาตร ก็ให้ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบ

      แล้ววิธีใส่บาตรมีอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่มีพระจะมา ให้ใช้ข้าวสารตักแทนก็ได้

      แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้สตางค์ใส่บาตรแทนก็ได้ (หมายถึงบาตรวิระทะโย)

      เงินนั้นให้ใช้เป็นค่าอาหาร มากน้อยตามกำลัง ไม่จำเป็นต้องไปรอพระมา

      ถ้าเห็นว่ามันมากพอสมควรก็เอาไปถวายพระ บอกท่านว่าเป็นค่าอาหาร

      แล้วท่านจะนำไปใช้เป็นค่าอาหาร หรือเอาไปใช้ก่อสร้างก็เป็นเรื่องของท่าน

      แต่เรามีเจตนาเป็นค่าอาหารก็แล้วกัน เท่านั้นก็พอ

       

               แล้วท่านก็บอกอีกว่า ก่อนปลูกผัก ปลูกต้นไม้ หว่านข้าว ตำข้าว

       ก็ว่าคาถาบทนี้หนึ่งจบตามวิธีการของท่าน เวลาบูชาพระกลางคืน

      ให้ว่า ๓ จบ หรือ ๕ จบ หรือ ๗ จบ หรือ ๙ จบก็ได้

      นอกจากนั้นก็ควรจะเจริญเป็นสมาธิ

      แต่บูชาพระกับว่าตอนใส่บาตรท่านว่ามีสภาพเป็นเบี้ยต่อไส้ 

      หมายความว่า ถ้าจะหมดตัวจริงๆ ก็จะหาได้ทัน

               ฉันเคยโดนมาบ่อยๆ ในระยะต้นๆ โดนเองจึงรู้ แต่พอจวนตัว ก็จะมีมาทุกครั้งไป

      ถ้าภาวนาให้จิตเป็นฌานก็จะมีผลมาก แล้วท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง

       

               หลวงพ่อปานท่านถามว่า "เดิมทีเดียวน่ะท่านมีฐานะอย่างไร"

               ครูผึ้งบอกว่า "ผมอันดับหนึ่งครับ"


               พอท่านพูดอย่างนั้น เราหูผึ่งเลย คิดว่าท่านเป็นมหาเศรษฐี

       

               ท่านบอกว่า "อันดับหนึ่งน่ะไม่ใช่เศรษฐี ฉันจนอันดับหนึ่งต่างหาก"


               คิดผิดถนัด ท่านบอกอีกว่า "กางเกงไม่ขาดผมไม่เคยนุ่งกับเขาเลย มันหาไม่ได้จริงๆ ครับ 

      กางเกงที่ดีที่สุดมันมีอยู่ตัวเดียว เก็บไว้ใช้เวลาไปทำบุญที่วัด กลับมาก็ต้องรีบเก็บ 

      นอกจากนั้นกลีบมันแย่งกันขึ้นเลย รอยขาดแย่งกันโผล่"


               ท่านเล่าให้ฟังอีกเยอะ สนุก ความจริงอายุของท่านตั้ง ๙๙ ปีแล้ว

      แต่ร่างกายยังแข็งแรงดีมาก ต่อมาเมื่อได้คาถาบทนี้มาแล้ว ด้วยความจนบีบบังคับ

      ท่านก็เริ่มทำสมาธิ ตอนเริ่มทำสมาธิ พอจิตเริ่มเข้าถึงอุปจารสมาธิ ซึ่งจะสังเกตได้ตามนี้

       

               ถ้าสภาพเดิมมันมืดอยู่ พอจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ ก็จะมีสภาพเกิดแสงสว่างขึ้นบ้าง

      หรือไม่อย่างนั้นก็จะปรากฎแสงสีขึ้น เห็นเป็นภาพหรือภาพอะไรก็ตามแวบๆ อันนี้แหละคือ

      อุปจารสมาธิ

       

            นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เงินมันเริ่มขังตัว การหากินคล่องขึ้น

      บางทีถ้าต้องการอะไรที่มันไม่เกินวิสัยที่จะหาได้ แต่ว่ามันอยากได้ เพียงไม่กี่วันหรอก

      อย่างดี ๓ - ๔ วัน จะต้องมีสตางค์พอหาซื้อของอย่างนั้นได้ และต่อมาเมื่อทำเป็นฌาน

       เงินก็เริ่มมากขึ้น

       

            ท่านเล่าว่า มีวิธีปฏิบัติเพื่อเจริญสมาธิอีกอย่างหนึ่ง แต่ว่าห้ามพูดนะถ้ารู้ว่าเงินเกิน

      เวลาที่เราบูชาพระด้วยคาถาบทนี้กี่จบ เวลาที่จะเก็บสตางค์ให้ถือสตางค์ไว้

      แล้วยื่นลงไปในที่สำหรับเก็บ มือมันกำสตางคือยู่แล้ว ว่าคาถาบทนี้จบ

      ว่าเสร็จแล้วปล่อยมือออก เป็นอันว่าใช้ได้

       

               ทีนี้เวลาที่จะนำสตางค์ที่ใช้ ท่านให้หยิบสตางค์อันนั้น แต่ว่าห้ามนับเงิน

      แล้วว่าคาถาตามจำนวนที่เราบูชาพระ ดึงเอาเงินนั้นออกมา ถ้าเกินกว่าจำนวนที่เราต้องการ

      เวลาที่เราจะเก็บก็ว่าคาถาแบบนี้เหมือนกัน ถ้าทำแบบนี้ท่านบอกว่าเงินจะขาดที่นั้นไม่ได้เลย

       

       ถ้าบางครั้งปริมาณเงินที่เราเก็บไว้ สมมุติว่าเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท มันเป็นปึก

      เราดึงมาทั้งปึก (๑,๐๐๐ บาท) แต่ปรากฎว่าเงินมันมีอีก ห้ามนำไปพูดกับคนอื่น

      ถ้าพูดเงินจะหด ท่านห้ามอวด

       

      ๒.                     นายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิตร 

      เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่าเตียน พระนคร 

       

      อันนี้นายห้างประยงค์เคยไปเล่าให้ฟังเหมือนกัน ท่านทำได้ผลตามนี้

      ท่านบอกว่าท่านเบิกเงินมาจากธนาคารเดือนละหมื่น แต่รายนี้รับรองกลับถึงบ้านยังไม่ใช้เงิน

      ต้องนำเข้าตู้เซฟก่อน ว่าคาบทนี้ตามแบบ เช้าตื่นขึ้นมาก็ว่าตามแบบอีก เงินทุกปึกจะต้องเกินเสมอ

      เกินทุกปึก หนึ่งร้อยบ้าง สองร้อยบ้าง เกินอยู่ตลอดเวลา

      ลองคิดดูซิว่ามีธนาคารที่ไหนบ้างเขานับเงินเกิน ท่านยืนยันว่า

      ไม่มีธนาคารที่ไหนเขานับเกินหรอก

       

               ถ้าทว่าตามปกติ ถ้าท่านทำแบบนี้จะต้องมีเงินเกิน นายห้างประยงค์คนนี้

      ก็ทำเป็นฌานเหมือนกัน เลยถามนายห้างประยงค์ว่าท่านทำอย่างไร

      ท่านบอกว่าหลังจากที่ได้คาถาบทนี้จากหลวงพ่อปาน

      ซึ่งตอนนั้นท่านพึ่งกลับมาจากนครศรีธรรมราช หลวงพ่อปานไปแวะที่วัดสระเกศ คณะที่ ๑๑

      ก็มีคนนำอาหารไปถวายท่าน เวลาท่านฉันข้าวท่านก็เล่าความเป็นมาของคาถาบทนี้ให้ฟัง

      คนทุกคนฟังแล้วไม่มีใครสนใจ มีแต่นายห้างประยงค์คนเดียวซึ่งตอนหลังมีความสนใจ

      พอหลวงพ่อปานท่านว่าคาถาบทนี้ไปแกก็จดตาม

       

               เมื่อฉันเสร็จ ให้พรเสร็จ ญาติโยมทั้งหลายก็ลากลับ แต่นายประยงค์สนใจคนเดียว

      ท่านก็เลยบอกว่า "เออดีแล้วไอ้ลูกคนหัวปี"

               คำว่า ลูกหัวปี ก็หมายความว่า คาถาบทนี้มีคนสนใจเป็นคนแรกและก็คนเดียว

       ท่านบอกว่าให้เอาไปลองทำ แล้วท่านก็บอกรายละเอียดในการทำให้ฟัง แล้วก็สั่งว่า

               "ถ้าเอ็งทำ ๒ ปี ไม่มีผล หลวงพ่อจะไม่สอนใครเลย" 

      ตอนนั้นท่านให้นายประยงค์ทดลองทำก่อน ที่ไหนได้ ผลปรากฏว่าพอครบ ๒ ปี

      นายประยงค์ก็ไปที่วัด ไปเล่าให้ฟังบอกว่า

       

               "เมื่อก่อนนี้ครับ ก่อนที่ผมจะได้คาถาบทนี้ไป ถ้าเดือนไหนห้งผมขายของได้กำไรถึงสองร้อยบาท (สองร้อยบาทเป็นกำไรสุทธินะ) เดือนนั้นสองคนผัวเมียนอนไม่หลับ ดีใจ"

               ก็เลยถามท่านว่า "เวลานี้ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง"

               ท่านบอกว่า "แหม...หมื่นหนึ่งยังเฉยๆ เลยครับ"


               ต่อมาหลวงพ่อปานก็ให้นายประยงค์ออกสตางค์สร้างวัดเขาสะพานนาค

      นายห้างประยงค์ถามว่า

               "จะเอาเงินเท่าไรจึงจะพอครับ?"


               ท่านบอก "ทำไปเรื่อยๆ มีเงินเป็นทุนสำรองไว้ประมาณ ๒ หมื่นบาท"


               หลวงพ่อปานสั่งว่า "ถ้าเอ็งจะเอาเงินไหนไปเป็นทุนสำรอง เอ็งเอาเงินนั้นมาให้พ่อก่อนนะ"


               แล้วนายประยงค์ก็เอาเงินมาให้หลวงพ่อปาน แทนที่หลวงพ่อปานจะเอาไว้

      ท่านก็เอาจำนวนนี้มาเสกด้วยคาถาวิระทะโยอีก ๗ คืน และท่านก็สั่งให้เอาเงินนั้นกลับไป

       

               ท่านสั่งว่า "ถ้าเวลาที่พ่อสั่งก็เอามาให้ เอ็งเอาเงินกองนี้นะ ห้ามเอากองอื่น"


               เวลาที่ท่านสั่งให้เอาเงินมา เขาก็เอาเงินกองนั้นแหละมาให้ หยิบเข้าหยิบออกอยู่อย่างนั้น

      จนกระทั่งสร้างวัดเขาสะพานนาคเสร็จเงินยังเหลือ ๒ หมื่น

               แหม...คนแบบนี้ซวยจัด ที่ว่าซวยเพราะอะไรรู้ไหม ก็ซวยตรงที่ไม่รู้จักคำว่าจนไงล่ะ

      เงินหมดไม่เป็น

       

               ต่อมาเราก็ย่องไปถามท่านว่า "มันเป็นอย่างไร"


               นายห้างประยงค์บอกว่า "หลวงพ่อปานสั่งไว้ว่า ก่อนจะหยิบก็ต้องว่าคาถาบทนี้เท่านั้นจบ เวลาเก็บก็ต้องว่าจำนวนเท่ากัน"


               ท่านทำตามหลวงพ่อปานสั่งหมด ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ท่านจะต้องทำเป็นสมาธิก่อน

      แล้วจึงใส่บาตร ก่อนใส่ก็สวดมนต์ด้วยคาถาบทนี้ ยามว่างตอนนั่งรถไปทำงาน

      ท่านก็ว่าคาถาบทนี้ไป เมื่อจิตมันว่าง มันก็เป็นฌาน พอตอนเย็นกลับบ้าน อาบน้ำเสร็จ

      รับประทานอาหารเสร็จ ทำสมาธิพักหนึ่งก่อน และก่อนจะนอน

      ถ้าไม่ปวดเมื่อยท่านก็นั่งทำสมาธิ ถ้าปวดเมื่อยก็นอนว่าจนหลับไป

       

               นายห้างประยงค์บอกว่า ตั้งแต่เริ่มเข้าอุปจารสมาธิจะเห็นพระพุทธเจ้าบ้าง พระสงฆ์บ้าง

      นับตังแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา เงินค้างเรื่อยเลย ก็มีวาระแรกที่เงินค้างมากเกินไป

      สองคนผัวเมียเกือบทะเลาะกัน ต่างคนต่างหาว่าเอาเงินไปซุกไว้

       

               เมียบอกว่า "ทำไมคุณเอาเงินมาไว้แล้วไม่บอกฉัน"


               นายห้างประยงค์บอก "ฉันไม่เคยเก็บเงิน เธอเป็นคนเก็บ เธอเป็นคนเอามาไว้แล้วทำไมถึงไม่จำ"


               ไล่ไปไล่มา นึกถึงผลของคาถาบทนี้ได้ คิดว่าน่ากลัวจะเป็นผลของการทำคาถานี้แน่ๆ

      เพราะหลวงพ่อปานท่านสั่งว่า ถ้าผลเกิดขึ้นมาแล้วอย่าโวยวาย ต่างคนต่างนึกขึ้นมาได้ก็เลยเงียบ

       

               จำไว้นะ ทุกคนที่ได้คาถาบทนี้ไปแล้ว ควรท่องคาถานี้ให้ชิน

      แล้วก็ทำสมาธิเหมือนๆ กับที่เราทำนี่แหละผลมันเท่ากัน ผลที่เราจะพึงได้รับก็คือ จิตเป็นสมาธิ และก็สตางค์จะขังตัว คือไม่ขาดมือ

       

               ในการที่ข้าพ(หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง)เจ้าพิมพ์หนังสือคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

      ซึ่งข้าพเจ้าได้เรียนมาจาก

      หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัพระนครศรีอยุธยา

      และได้แจกเป็นธรรมทานไปแล้วหลายครั้ง มีท่านที่รับหนังสือนั้น ส่วนมากสงสัย

      ในการปฏิบัติเพื่อผลเบื้องสูง คือ ถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์อย่าง

      นายห้างประยงค์ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ท่าเตียน พระนคร 

       

       

      มีหลายสิบท่านที่เขียนหนังสือมาถามบ้าง มาถามด้วยตนเองบ้าง

      เพื่อเปลื้องความสงสัยของท่านที่สงสัย และเพื่อประโยชน์แก่ท่านที่รับหนังสือรุ่นต่อไป

      ขอนำเอาปฏิปทาของท่านนายห้างประยงค์มาเล่าให้ฟังตามที่ได้สอบสวนมาจากปากคำของนายห้างเอง

      เพื่อผลแก่ท่านที่ประสงค์ผลอย่างนั้นพร้อมทั้งแนะนำแบบแผนปฏิบัติเพื่อผลอย่างนั้นเพื่อผลในปรโลกด้วย

       

       

               เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ ข้าพเจ้าได้พบท่านนายห้างที่วัดบางนมโค

      ได้เรียนถามถึงแนวปฏิบัติของท่านซึ่งท่านเป็นผู้ที่รับผลจากคาถานี้เป็นคนแรกและหาคนที่

      ได้ผลเสมอเหมือนได้ยากถามท่านว่าปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลอย่างนั้นท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า

      ท่านปฏิบัติเป็นสองแนวคือ

       

               ๑. ท่านสวดมนต์เป็นประจำตามแบบไม่ขาด ทั้งตอนเช้าและก่อนนอน

               ๒. ท่านเจริญภาวนาเป็นสมาธิทุกวันคืน คือ ท่านยึดหลักตามแบบสมถภาวนาอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เนื่องจากท่านได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อปานไปอย่างนั้น

       

       

       

               ท่านบอกว่า หลวงพ่อแนะนำท่านว่า ถ้าสวดมนต์และใส่บาตรประจำนั้นเป็นการปฏิบัติ

      อย่างเพลา หรือมีผลเพียงไม่ขัดข้องเมื่อมีความจำเป็น จะเอาร่ำรวยนั้นยังไม่ได้สมบูรณ์

      เพราะการปฏิบัติอย่างนั้นเป็นการปฏิบัติที่จิตยังประกอบด้วยนิวรณ์ จิตยังเป็นทาสของอารมณ์อยู่มาก

       

               ฉะนั้นผลที่พึงจะได้รับในชาตินี้จึงมีผลยังไม่ไพบูลย์

      และผลในชาติหน้าก็เป็นผลของทานที่ใส่บาตร

       และอาศัยการบริกรรมเล็กน้อย ยังเป็นผลที่มีกำลังอ่อนมาก

      เป็น อนิยตผล คือ เป็นผลที่มีกำลังต่ำเอาแน่นอนนักไม่ได้

       

               ท่านว่าหลวงพ่อแนะนำท่านว่า หากหวังความไพบูลย์จริงๆ 

      ควรเจริญตามแบบสมถภาวนา จนสามารถระงับนิวรณ์ได้แล้ว จัดเป็นฌานนั่นแหละ

       ผลจะไพบูลย์มากจนคิดไม่ถึง เพราะจิตที่มีสมาธิถึงฌานได้ ต้องเป็นจิตที่มีความเคารพในศีล

      คือ ระมัดระวังมิให้บกพร่องอยู่เสมอ ประกอบด้วยการถวายทาน (ใส่บาตรเป็นนิจ) 

      จัดว่าเป็นสังฆทานอยู่ทุกวันมิได้ขาด และจิตก็ผ่องใสปราศจากนิวรณ์ที่จะทำให้เศร้าหมอง

       

               เมื่อมีศีลบริสุทธิ์ มีการสร้างทานบารมีเป็นนิจมิได้ขาด

      มีจิตตั้งมั่นในสมาธิอย่างนี้แล้ว ผลที่จะพึงได้นั้นก็เป็นผลที่กำหนดนับไม่ได้

      หากว่าเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วได้มีโอกาสพิจารณาขันธ์ ๕ ว่า....

      ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ มีอันจะต้องสลายไปในที่สุด

      จนจิตเป็นอุเบกขา คือไม่หวั่นไหวพรั่นพรึงเมื่อจะถึงกาลมรณะแล้ว

      ท่านว่าผลที่จะได้เพราะอาศัยความบริสุทธิ์ของจิต 

      จะมีผลอย่างคาดคิดกำหนดไว้ไม่ได้เลย

       

               ท่านบอกว่า เมื่อหลวงพ่อว่าทำอย่างนั้นดี ท่านก็ทำ เพราะการที่ทำอย่างนั้นไม่ต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมจากเดิมเลย ทั้งนี้ท่านบอกว่า ท่านใส่บาตรอยู่แล้วตามปกติ การเจริญสมาธิท่านว่าท่าน

      ไม่ได้หาเวลาพิเศษไปถ้ำไปเขา หรือไปเข้าสำนักบ่มวิปัสสนาที่ไหน ท่านยึดห้องพระของท่านเป็นที่สมาทานศีล เจริญสมถะและวิปัสสนา

       

      ท่านว่าเมื่อท่านเลิกจากการค้าในตอนเย็นแล้ว รับประทานอาหารเสร็จ พักผ่อนเล็กน้อยพอให้อาหารย่อย

      แล้วท่านก็เข้าห้องพระบูชาตามแบบแล้วท่านก็สมาทานศีล เมื่อสมาทานศีลแล้วก็เริ่มภาวนา

      คือ กำหนดลมหายใจเข้าออก ไปพร้อมๆ กันด้วยว่าคาถาช้าๆ ตามสบายท่านทำเป็นประจำไม่เคยขาด

       

               เมื่อตื่นนอนถ้าไม่สายเกินไป ก่อนไปร้านค้าท่านก็เจริญภาวนาเสียครูหนึ่ง 

      ท่านทำอย่างนี้เป็นประจำ ไม่นานเลยท่านว่ประมาณเดือนเศษๆ 

      พอนั่งเข้าที่ภาวนาก็เกิดมีความสว่างเกิดขึ้น 

      เมื่อหลับตาภาวนานั้น คล้ายมีใครมาจุดตะเกียงไว้ข้างๆ มีแต่แสงแต่ไม่มีดวงโคม 

      ในระยะแรกก็สว่างน้อยๆ และไม่นาน

       แต่เมื่อหลายวันเข้าก็ชักมีแสงสว่างมากขึ้นและอยู่นานเข้าทุกวัน 

      อารมณ์ใจก็แนบสนิทมีอารมณ์คงที่ไม่ไหลไปสู่อารมณ์อื่น 

      คงภาวนาเรื่อยไป ลมหายใจดูเหมือนจะน้อยลงไปทุกที 

      แต่ความรู้สึกนั้นเป็นสุขที่สุด 

      บางครั้งก็ปรากฏเป็นรูปพระพุทธบ้าง พระสงฆ์บ้าง ให้เห็นเสมอ

       

               ท่านว่าระยะนี้แหละที่เป็นระยะที่ลาภเกิดขึ้นแปลกๆ และคาดไม่ถึง

      การค้าคิดว่าจะมีกำไรน้อยก็ได้มาก 

      ยาที่ทำนับจำนวนไว้แน่นอน

       เมื่อเจ้าหน้าที่ขายครบจำนวน 

      และเงินก็ได้ครบแล้ว 

      แต่ยากลับไม่หมด

       การค้าขายรายได้รุดหน้าไปในทางดีอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน

       

               ท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องเงินที่เบิกจากธนาคารว่า.......

      เมื่อเบิกจากธนาคารแล้วท่านยังไม่ยอมนับ ท่านเอาเข้าเซฟก่อน

      พอรุ่งเช้าจึงเอาออกมานับท่านว่ามีเรื่องมหัศจรรย์อย่างคาดไม่ถึง 

      เงินที่รับจากธนาคารปึกละหนึ่งหมื่นนั้น ทุกปึกเกินหมื่นบาททุกปึก 

      บางปึกเกินถึงสามพันบาท 

      เดิมคิดว่าทางธนาคารนับมาผิด

      แต่เมื่อสอบทางธนาคารก็ยืนยันว่านับไม่ผิด

      เป็นอย่างนี้ทุกครั้งจนเห็นเป็นปกติ

       

               การค้าก็ไม่ได้โฆษณาอย่างเขา แต่การค้าก็หลั่งไหลไม่ขาดสาย

      จนมีโอกาสทำบุญได้ตามอารมณ์เมื่อทำบุญหนักเข้าผลที่ได้ก็เพิ่มหนักขึ้น

      ในที่สุดตามที่ท่านให้สัมภาษณ์กับคณะอนุศาสนาจารย์กองทัพบก

      ท่านว่าท่านทำบุญเฉพาะเงินที่ทำบุญไปแล้วประมาณ ๔๐ ล้าน (หากจำไม่ผิด)

      ได้ยินอย่างนั้น คิดแต่เงินที่ทำบุญเท่านั้น พวกเราก็หน้ามืดแล้ว

       

               ตามที่พูดนี้พูดตามคำบอกเล่าของท่านนายห้างเอง หากท่านที่รับหนังสือนี้แล้ว ท่านคิดว่าท่านประสงค์ผลอย่างนั้นบ้างแล้ว ก็จงทำอย่างท่านนายห้าง ผลในโลกนี้ก็จะบันดาลให้ท่านมีผลมีฐานะ

      เป็นเศรษฐีอย่างท่านนายห้าง หากท่านคิดว่าเอาแต่พอได้ คือ แก้ขัดพอมีกินไม่ขาดมือแล้ว

      ไม่หวังความร่ำรวยก็ปฏิบัติเพียงแค่สวดมนต์ใส่บาตร ขอให้ท่านเลือกเอาตามแต่ท่านจะเห็นสมควรแก่ตนท่านเอง มีหลายท่านที่บอกว่าอยากจะปฏิบัติ แต่เกรงว่าจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ให้ครบถ้วนไม่ได้

      ขอแนะนำว่าหากคิดจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ครบถ้วนตลอดวันไม่ได้แล้ว ขอให้ทำอย่างนี้

       

               ขั้นแรกขอให้กำหนดเอาเวลานอนเป็นเวลารักษาศีล

      คือ เมื่อเสร็จกิจอย่างอื่นแล้ว ก็ตั้งใจสมาทานศีลโดยตั้งใจว่า

      ตั้งแต่เวลานี้ไปจนกว่าจะตื่น เราจะรักษาศีลด้วยชีวิต

      จะไม่ยอมล่วงศีล ๕ แม้แต่ตัวใดตัวหนึ่งให้ขาดหรือเศร้าหมอง

       แล้วแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวง

      คิดในใจ ประกาศความเป็นมิตรแก่คน และสัตว์ทุกประเภท

      แล้วภาวนาพระคาถาไปตามที่จะภาวนาได้ เก็งเอาดีก่อนหลับ

      พร้อมด้วยกำหนดลมหายใจเข้าออก

      เอาสัก ๕ จบแล้วก็เลิก นอนให้หลับไปทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไป

       

               ต่อไปเมื่อตั้งใจรักษาศีลและแผ่เมตตาก่อนนอนพอเป็นที่สบายใจแล้ว

      ก็เลื่อนมาเป็นเวลาที่ไม่ได้นอน กะเอาเวลาใดเวลาหนึ่งที่เป็นเวลาว่าง

       ตั้งเวลาไว้วันละหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างมาก รักษาศีลให้บริสุทธิ์

       และเจริญสมาธิไปด้วย ค่อยๆ ขยับเลื่อนไปทีละน้อยๆ

      อาศัยความค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ฝึกชนิดไม่หักโหมอย่างนี้

      จิตท่านจะค่อยชินต่อการแผ่เมตตาจนไม่รู้สึกขัดต่ออารมณ์

       

               การคิดที่จะรักษาศีลก็จะเคยชิน ในที่สุดจะรักษาทั้งวันก็ไม่มีอะไรลำบากใจ 

      เมื่อศีลเกิดความชินต่อไปจนไม่ต้องระวังแล้ว 

      สมาธิก็จะแนบสนิทใจจนเป็นฌาน คืออารมณ์เยือกเย็น 

      ภาวนาจนมีเวลานานๆ ได้ ไม่รำคาญในเสียงที่สอดแทรกเข้ามารบกวน 

      คงภาวนาได้นานๆ ขนาด ๑๐ ถึง ๒๐ นาที 

      โดยจิตไม่ทิ้งอารมณ์ อย่างนี้เรียกว่า 

      ได้ฌานสมาบัติต้นผลที่ท่านประวงค์ก็จะประสบพบถึงกันตรงนี้

       

      ๓.        นายแจ่ม เปาเล้ง 

          บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น ( นี่พูดถึงเงินในสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไรก็คิดกันดู ) ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน 

       


      ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา
      "คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้" ลูกเมียแกว่าอย่างนั้น
      ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหล่ะทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริง ๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะ งามสะพรั่งมีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบ ไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุก ๆ หงิก ๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่ง ๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์
      อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบาง ๆ ยอดหงุกหงิก ๆ นั่นแหล่ะ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้ง ๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทราบใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนักเลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่า นั้นหาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น
      พริกของคนอื่นเขาเก็บกัน ๒ - ๓ ครั้ง ก็หมดแล้วครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สาม เก็บได้อีกเพียงเล็กน้อยเป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้งแล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงได้หมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่า ๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิก ๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่า พริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า "เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง" ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น"


      นี่เห็นไหม... ถ้าหากว่า ท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ )

       

       

      ๔.    หลวงพ่อเล็ก  วัดท่าขนุน

            อาตมาแม้ไม่มีอานิสงส์บูชาพระรัตนตรัยด้วยทองคำเท่าปีกริ้นแบบท่านเมณกเศรษฐีก็ตาม

      แต่อาตมาก็มีอานิสงส์อื่นมาทดแทน... 

                    นั่นคือ...เกิดมาได้มีวาสนาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (สมณศักดิ์ในขณะนี้) แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี อานิสงส์นี้ก็เหลือเฟือเกินพอแล้ว... 

                    “หลวงพ่อ” ท่านเมตตามอบคาถามหาลาภ คือ “คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า” ให้ มาภายหลังท่านต่อเติมจนเป็น “คาถาเงินล้าน” ก็ยิ่งมีผลเป็นร้อยเท่าพันทวี... 

                    อาตมาเป็นคนเชื่อยาก ลองแล้วลองอีกจนหมดความสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ขนาดสองทุ่มเทย่ามเลี้ยงพระจนเกลี้ยง กลับไปจำวัดยังถูกปลุกไปสวดศพ รับเงินมาจนได้... 

                    รุ่นที่อาตมาบวชทั้ง ๓๕ องค์ ตั้งใจช่วยสร้างห้องกรรมฐาน และพระหน้าตักสี่ศอก เพื่อชำระหนี้สงฆ์กับหลวงพ่อเป็นเงินสองแสนกว่าบาท ก็แบ่งเฉลี่ยกันจ่าย... อาตมาเทย่ามถวายหลวงพ่อหมดเรียบตั้งแต่ออกจากโบสถ์ อยู่ ๆ มาเจอหนี้สินบานตะเกียงแบบนี้ก็หน้ามืดไปเลย จะเอาที่ไหนมาให้ละหว่า...? 

                    หลังจากบวชได้ ๗ วัน พอดีลงศาลาสองไร่ ในงานวันวิสาขบูชา พบกับพี่สาวที่แสนดี คือ คุณนารถฤดี เจริญราศรี พี่เขาขอทำบุญด้วย ๒๐ บาท พออาตมาเปิดย่ามรับ สิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น...! 

                    ญาติโยมทั้งหลายพากันเข้าแถวยาวเหยียดตั้งแต่หัวศาลาถึงท้ายศาลา เธอบ้างฉันบ้าง ควักเงินใส่อุตลุด อาตมาเองรับเงินซะงงเป็นไก่ตาแตก กลับกุฏเทกองพะเนินเลย นับรวบรวมเสร็จ เหลือจะพอรีบนำไปถวาย “หลวงพ่อ” หมดหนี้หมดสินกัน โล่งอก...! 

                    นี่ขนาดเพิ่งบวชนะ...มาตอนออกธุดงค์ไปเมืองลับแล อาตมาก็ถลุงเงินเกลี้ยงฉาด ตั้งใจไปตัวเปล่าจริง ๆ แต่อานิสงส์ที่ติดตัวไม่ยอมให้เป็นอย่างต้องการ... พอเทกระเป๋าเลี้ยงพระวันมาฆบูชากับแม่ครัวและครัวกองทุนจนหมด กำลังสบายใจ ก็พบกับ คุณวิไล จณวัตรกับ คุณอัญชนา ลิขิตธนารักษ์ เจ๊แกถวายแต๊ะเอียมาซองเบ้อเริ่ม...! 

                    ลงสวดมนต์ที่ศาลาสองไร่ พบอาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม บอกว่าจะบวช เลยร่วมเป็นเจ้าภาพยกซองให้ไปเลย ออกจากศาลามาน้าอึ่ง (คุณอุไรวรรณ ปัจฉิมางกูร)กลางทาง ถวายเงินมาอีกหนึ่งร้อย อาตมาละกลุ้ม...! 

                    จ่ายเป็นค่าล็อคเก็ตหลวงพ่อ ๕ อันหมดพอดี มาเข้าเวร พี่สาว (คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) กับเกียง (มาลินี ตีรเลิศพานิช) ตามมาถวายอีก ๔๙๐ บาท (อยากจะบ้าตายจริง ๆ) เอาไปจ่ายเป็นค่าเหรียญทำน้ำมนต์และล็อคเก็ตหลวงพ่อ หมดตัวซะที... 

                    ลงปาฏิโมกข์แล้ว ออกจากโบสถ์มาพบแม่เบ็ญ (อาจารย์เบ็ญจา วิบูลย์พันธุ์)ถวายเงินส่วนตัว ๕๐๐ บาท อาตมาอยากหัวเราะและร้องไห้พร้อม ๆ กัน...! แดง (มงคล จอมผา) เอารถไปส่ง เลยเติมน้ำมันที่พิษณุโลกซะ ๒๐๐ บาทเหลือ ๓๐๐ บาท ยกให้แดงไป อีทีนี้ตอนเข้าป่ามันต้องจ้างคนนำทางนะซิ...! 

                    นึกถึงเงินสามร้อยบาทชะมัด ล้วงย่ามค้นไปค้นมาได้สามร้อยบาท มาจากไหนวะ...? ฮ่า...เราทำได้ จ่ายค่านำทางค่ายาจิปาถะ ขากลับออกมาห้วยหยวก เลี้ยงขนมเด็กกะเหรี่ยงและหมูหมากาไก่ ช่วยกันกินครึกครื้นไปเลย รวมทั้งหมดจ่ายไป ๒๐๐ บาท... 

                    กลับถึงวัดเกือบสี่ทุ่ม ทำความสะอาดบริขารแล้ว สงสัยว่าทำไมฝั่งโบสถ์เปิดไฟสว่างโร่ ถามได้ความว่าแม่ของโยมเอี่ยม(แม่ครัววัด)ตาย กำลังมีงานศพอยู่ จะไปร่วมงานก็เหนื่อยเต็มที นอนดีกว่า...แผ่หราหลับเป็นตายเลย... 

                    ตีสี่เจอแม่ครัว ควักเงิน ๑๐๐ สุดท้ายช่วยงานศพเขา แล้วอาตมากับแดงก็ “เหาะ”ไปบ้านแม่เบ็ญที่อู่ทอง ฉันเช้าแล้วนอนยาวยันบ่ายเลย ตกบ่ายแม่เบ็ญพาเพื่อนบ้านมาฟังประสบการณ์ในป่า คุยกันเพลินเกือบสี่ทุ่มจึงเลิก... 

                    ญาติโยมพากันถวายเงินเจ็ดร้อยกว่าบาทเป็นค่าเล่าเรื่อง...เห็นมั้ยล่ะ...? เช้ามืดหมดตัว กลางคืนรับใหม่ ไม่เคยหมดข้ามวันเลยซักครั้งเดียว จะมากจะน้อยก็ต้องมีมาจนได้ ถ้าไม่ขยันทำบุญ คงเก็บเงินได้หลายตันแล้ว...! หลายครั้งหลายหนที่เป็นแบบนี้ จนกระทั่งเชื่อยิ่งกว่าเชื่อ ว่าชาตินี้ อาตมามีเงินถลุงเล่นไม่รู้จักหมดแน่ ๆ แฮ่... 

                    ลุงพุฒพูดเสียงเขียวว่า “เขียนดี ๆ หน่อยคุณ เดี๋ยวคนเขาเข้าใจผิดว่าเอาไปปล่อยกู้ เลี้ยงสาว ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน แบบพวกที่มาอยู่ข้างล่างนี่ บอกเขาไปตรง ๆ ซิว่า “หลวงพ่อ”สั่งให้ทำบุญให้หมด ห้ามมีเงินเก็บข้ามปี” 

                    หวิดไปแล้วมั้ยล่ะ...! คะนองมือไปหน่อยถูกเบรคหัวทิ่มเลย โอ.เค.ชาตินี้อาตมามีเงินทำบุญเพลินอุราชนิดไม่มีวันหมดแน่...อย่างนี้ใช้ได้นะลุงนะ...! 

                    ท่านผู้อ่านจะทดลองดูบ้าง ก็โปรดย้อนไปดูตอนคาถาเงินล้าน แล้วปฏิบัติตามนั้นเถิด การภาวนาถ้าใจเกาะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านก็ไม่มีวันตกสู่ที่ชั่วอยู่แล้ว ยิ่งเอากำลังจากการภาวนา มาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ยกจิตของตนขึ้นสู่ภูมิสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ ก็ยอดเยี่ยมสุดหาใดปานเลยทีเดียวเชียว...


      ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๓ 

      พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

       

      ๕.                         เฉลิม คงทอง

       

      เคารพหลวงพ่อ

      หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒

       

      ข้าพเจ้าเป็นคนราชบุรี นับถือศาสนาคริสต์ เริ่มรู้จักหลวงพ่อตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปีเต็ม

      และได้ติดตามหลวงพ่อตลอดมา ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าอายุ ๕๙ ปีแล้ว ตอนที่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อ

      ที่วัดบางนมโคนั้น ตอนนั้น หลวงพ่อรับหน้าที่แทนหลวงปู่ปานแล้ว

       

      เริ่มแรกทีเดียวนั้น ข้าพเจ้ากับนายแจ่ม เปาเล้ง (ซึ่งภายหลังไม่กี่ปี นายแจ่ม เปาเล้ง

      ก็กลายมาเป็นพ่อตาของข้าพเจ้า) พากันไปพบหลวงพ่อที่วัดบางนมโค ก็ได้คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

      หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า คาถาวิระทะโย และได้ไปหานายประยงค์ ตั้งตรงจิตด้วย

      ไปคุยเรื่องคาถา พระปัจเจกพุทธเจ้า นายประยงค์ก็แนะนำว่า ต้องท่องคาถา และใส่บาตรอย่าให้ขาด

       จึงจะได้ผล

       

      นายแจ่ม ได้คาถามา ก็ทำอย่างจริงจังแบบเปิดเผย เดิมเขาไม่มีที่ดิน ข้าพเจ้าก็แบ่งที่ดินให้ปลูกพริก

      ซึ่งนายแจ่มปลูกแล้ว พริกเจริญงอกงามดีมาก เพราะว่าปลูกไปก็ว่าคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นประจำ

      ทำให้มีการคล่องตัว และทำให้การเป็นอยู่ดีขึ้น เพราะผลของคาถานี้ช่วยได้มาก

       

      ตัวข้าพเจ้าได้คาถามาแล้ว ก็ท่องแบบเงียบๆ คือเอาวิธีหลวงพ่อมาทำแบบเงียบๆ ไม่ทำแบบเปิดเผย

      ตัวข้าพเจ้ายังคงนับถือศาสนาคริสต์อยู่ แต่ก็ท่องคาถาวิระทะโยไปเรื่อย พอลงมือทำงาน

      วิดน้ำในสวน ก็ท่องคาถานี้เรื่อยๆ โรคภัยก็ไม่ค่อยเบียดเบียน

       

      สมัยนั้นมีโรคระบาดอยู่ทั่วไป คนป่วยกันมาก แต่ข้าพเจ้าไม่ค่อยเป็นอะไร

      ถึงข้าพเจ้านับถือคริสต์ เวลาไปหาหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ไหว้ท่านและเคารพนับถือท่าน

      ก็ทำตามที่ท่านแนะนำ ภายหลังเตี่ยข้าพเจ้าให้ที่ข้าพเจ้าทำสวน ๑๑ ไร่ ข้าพเจ้าทำสวนเรื่อยมา

      ก็ไม่ขาดทุน มีเหลือกิน เหลือใช้บ้าง ทำได้ดีพอสมควร ปลูกพืชล้มลุก พวกหอม พวกพริก

      ก็ทำให้มีผลงอกงามดี ได้กำไรดี และทำให้มีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเวลานี้มีอยู่ ๗๘ ไร่

      ยิ่งทำก็ยิ่งมีความมั่นใจ ว่าถ้าได้ทำบุญกับหลวงพ่อแล้ว รู้สึกว่าทำอะไรก็ดีทุกอย่าง

       

      ตอนนี้ หลวงพ่อรับหน้าที่จากหลวงปู่ปานแล้ว หลวงพ่อก็ออกล่องเรือไปตามแม่น้ำลำคลอง

      เอารูปหล่อหลวงปู่ปานใส่เรือ เปิดเครื่องขยายเสียง ชักชวนญาติโยมทั้ง ๒ ฝั่งน้ำทำบุญ

      เพื่อนำปัจจัยไปซ่อมแซมวัดบางนมโค ผู้คนก็นิมนต์ให้หลวงพ่อ หยุดแวะรับปัจจัยเพื่อทำบุญ

      ร่วมบุญด้วย ทั้ง ๒ ฝั่งแม่น้ำ ก็ใช้เวลาหลายวัน

       

      ล่องเรือไปเรื่อยๆ ค่ำไหนก็จอดแวะที่นั่น ครั้นมาถึง ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก

      จังหวัดราชบุรี ล่องเรือมาถึงบ้านข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็นิมนต์ให้พักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้าคราวละหลายๆ วัน

       มีอะไรท่านก็สอนข้าพเจ้าและแนะนำ สิ่งใดที่ไม่รู้ก็ถามท่าน ท่านก็บอกให้หมดทุกอย่าง

       จึงมีความเคารพนับถือและติดตามหลวงพ่อตลอดมา หลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดไหนก็ตามไปหาตลอด

       

      จนกระทั่งข้าพเจ้าจะปลูกบ้านเป็นของตนเอง ก่อนจะปลูกบ้าน หลวงพ่อได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับคน

      ที่จังหวัดชัยนาทให้ฟังว่า

       

      มีเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่จังหวัดชัยนาท ปลูกบ้านที่มีเสาตกมัน และมีคนคิดจะมาขโมยของที่บ้านหลังนี้ แต่เขาก็กลัวๆ อยู่ จึงทำพิธีจับผีในบ้านนี้เสียก่อน โดยใช้พิธีทางไสยศาสตร์อยู่ ๓ วัน พอทำพิธีวันแรกก็ได้ยินเสียงร้อง โว้ย” วันที่ ๒ ก็ได้ยินเสียงร้อง โว้ย” พอวันที่ ๓ ไม่มีเสียงร้องอะไร ก็นึกว่าจับตัวได้แล้ว จึงเข้าไปขโมยของในบ้านหลังนี้

       

      เข้าไปถึงก็เก็บข้าวของที่ต้องการกองๆ รวมกันไว้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวจะขนของออกไป

      ก็หาทางออกไม่ได้ นางไม้ได้ล้อมบ้านไว้ ประตูเหล็กยืดนั้นเดิมตอนเข้าไปขโมยของก็เปิดทิ้งไว้

      พอเข้าไปขโมยของในบ้านแล้ว ประตูยืดนั้น ก็ปิดเข้ามาเอง เลยเอาของไปไม่ได้สักอย่าง

      จนกระทั่งคนในบ้านตื่นขึ้นมา ก็พบทั้งขโมยและของกลางกองรวมๆ กันอยู่

      เจ้าของบ้านเลยจับขโมยได้โดยง่ายดาย

       

      หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้จบ จึงแนะนำให้ข้าพเจ้าไปซื้อไม้ที่มีเสาตกมันมาสร้างบ้าน

      จะได้ช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้อยู่เย็นเป็นสุข

       

      ก่อนไปซื้อไม้มาปลูกบ้าน หลวงพ่อก็ได้เมตตามาทำพิธีบวงสรวงที่บ้านข้าพเจ้า

      โดยบวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทิศ ให้คุ้มครองข้าพเจ้า ซึ่งตอนนั้นเตี่ยข้าพเจ้า

      นับถือศาสนาคริสต์อยู่ จึงหลีกเลี่ยงการตั้งศาลเพื่อไม่ให้ขัดใจเตี่ย

       

      หลวงพ่อแนะวิธีให้ทำง่ายๆ คือ ให้หาไม้มาทำเป็นเสา และตอกเป็นหิ้งขึ้นแบบง่ายๆ

       และให้หาดอกไม้ธูปเทียนอย่างละ ๕ อย่าง วางไว้ที่หิ้ง พอหลวงพ่อบวงสรวงเสร็จ

      ข้าพเจ้าก็ออกไปหาซื้อไม้ เลือกซื้อไม้ใหม่มาเลย ไม่ใช้ไม้เก่า ไปซื้อไม้ใหม่ๆ มา

      ก็หาที่เป็นเสาตกมันไม่ได้ ไปซื้อจากที่เขาตัดมาเรียบร้อยแล้ว

      ซื้อไม้ที่ตัดมาใหม่ๆ เลย ก็คิดว่าหาไม่ได้

       

      แต่พอได้ไม้มาแล้ว หลวงพ่อก็ทักขึ้นว่า ไม้ที่ซื้อมาทั้งหมด มีเสาทั้งหมด ๗ ต้นที่เป็นเสาตกมัน

      ในจำนวน ๗ ต้นนั้น ข้าพเจ้าใช้ ๖ ต้นปลูกบ้าน อีกต้นหนึ่งไม่ได้ใช้

      เพราะเห็นว่ามีน้ำมันไหลเยิ้มออกมา จึงไม่ได้ใช้ จึงเอาไปปักไว้ข้างคลอง

       

      จากนั้นหลวงพ่อ ก็ทำพิธีเชิญนางไม้ทั้งหมดให้ขึ้นไปรวมกันอยู่บนบ้านเลย ให้นางไม้ช่วยคุ้มครอง

       เวลามีภัยอันตรายต่างๆ ก็มักจะคอยให้การช่วยเหลืออยู่เป็นนิตย์ อย่างเช่น

      ครั้งหนึ่ง ลูกข้าพเจ้าผสมน้ำมันเบนซินบนบ้าน ไฟลุกพรึบ ข้าพเจ้าก็บอกให้รีบหิ้วไปเทข้างนอกบ้าน

      ทำให้ไฟไม่ไหม้บ้าน เวลาลูกเทน้ำมัน ไฟก็วิ่งมาบนแขนทั้ง ๒ ข้าง เมื่อดับไฟแล้ว

      ที่แขนไม่มีแผล ไม่มีแสบร้อนอะไรเลย นับว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ใจจริงๆ ที่รอดปลอดภัยในครั้งนั้น

       

      บางครั้งข้าพเจ้าไม่อยู่บ้าน มีคนมาจอดเรือเรียกข้าพเจ้า เขาได้ยินเสียงข้าพเจ้าตะโกนขานรับ

      แต่แล้วเขารอแล้วก็เงียบ เพราะข้าพเจ้าไม่อยู่ แถมปิดกุญแจบ้านไว้ด้วย

       

      นับแต่ปลูกบ้านมา นางไม้ก็คอยคุ้มครองบ้าน และให้ความคุ้มครอง ปลูกพืชผลได้มาก

      ไม่มีขาดทุน มีแต่กำไรขึ้นเรื่อยๆ

       

      ข้าพเจ้านับถือศาสนาคริสต์มาเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าแต่งงาน จึงทำพิธีตามแบบศาสนาคริสต์

      (แต่งกับลูกสาว นายแจ่ม เปาเล้ง หลังจากที่พบหลวงพ่อเพียงไม่กี่ปี)

      วันแต่งงานนั้นหลวงพ่อไม่ได้ทำพิธีอะไรให้ แต่หลวงพ่อไปพักอยู่ที่บ้านข้าพเจ้า ๒ – ๓ คืนที่

      จ.ราชบุรี

       

      ต่อมาข้าพเจ้าก็เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับภรรยาของข้าพเจ้า

      สาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนจากการนับถือศาสนาคริสต์มาเป็นศาสนาพุทธเพราะว่า

       

      ข้าพเจ้าได้ถามหลวงพ่อว่า พระเยซูมีจริงไหม 

       

      หลวงพ่อตอบว่า มี อยู่ชั้นกามาวจรสวรรค์” 

       

      ข้าพเจ้าจึงถามหลวงพ่ออีกว่า ศาสนาคริสต์ ถึงขั้นไหน” 

       

      หลวงพ่อตอบว่า ศาสนาคริสต์ถึงแค่ชั้นสวรรค์ ส่วนศาสนาพุทธถึงขั้นนิพพาน คือไม่ต้องกลับมาเกิดอีก” 

       

      ข้าพเจ้าเมื่อได้ทราบจากคำอธิบายของหลวงพ่อแล้ว จึงเข้าใจ และอยากไปนิพพานในชาตินี้

      เพราะว่าชีวิตข้าพเจ้ามีแต่ความทุกข์ ข้าพเจ้าไม่ขอเกิดอีก

       

      เมื่อมารดาของข้าพเจ้าเสียชีวิตไป หลวงพ่อก็ช่วยได้ ช่วยได้แค่สวรรค์

      หลวงพ่อท่านสร้างพระเงินและพระทององค์ละสลึง และให้ถวายสังฆทาน

      มีพระหน้าตัก ๕ นิ้ว ผ้าไตร และอาหารคาวหวาน โดยอุทิศเจาะจงไปให้

      แม่ข้าพเจ้าที่ตายไปแล้ว หลวงพ่อเล่าให้ฟังหมดเลยว่า

       แม่ข้าพเจ้ามีลักษณะรูปร่างเป็นอย่างนั้นๆ เคยทำบุญอะไรไว้บ้าง

      ข้าพเจ้าก็ไปถามเตี่ยดู เตี่ยยืนยันว่าแม่ทำอย่างนั้นจริง เลยเชื่อทุกอย่าง

       

      เวลาไปรับหลวงพ่อ พอผ่านศาลเจ้า หลวงพ่อจะคุยกับเทวดาที่ศาลเจ้า

      และบอกให้ช่วยคุ้มครองข้าพเจ้า เทวดาที่ศาลเจ้าก็บอกว่า ท่านคุ้มครองข้าพเจ้าอยู่แล้ว

       

      มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อไปเชิญศาลพระภูมิ เทวดาท่านมาทวงว่าทำผิดไว้ที่ป่า

      ท่านมาทวงเรื่องไปทำบุญแก้บน บอกว่าไปทำบุญแก้บน ตอนเย็นนั้นใช้ไม่ได้ ท่านรับไม่ได้

      ต้องไปทำบุญแก้บนก่อนเพล สาเหตุนี้ทำให้ต้นไม้ที่ปลูกไว้ไม่โต หลวงพ่อท่านก็สามารถรู้ได้

      และเป็นเรื่องจริง

       

      ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๒๙ ภรรยาข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลง ข้าพเจ้าก็รีบส่งจดหมายถึงหลวงพ่อ

      พร้อมทั้งถวายปัจจัย ๑๐,๐๐๐ บาท เพื่อหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์อุทิศกุศลให้แก่ภรรยาข้าพเจ้า

      ที่เสียชีวิตไป

       

      ข้าพเจ้าได้ถามหลวงพ่อว่า ภรรยาเขาไปลำบากไหม 

       

      หลวงพ่อตอบว่า เหลือแต่แกเท่านั้นที่ยังโง่อยู่ เขาไปสบายแล้ว” 

       

      เมื่อ ๗ ปีที่แล้ว ข้าพเจ้าขาบวมเจ็บอยู่ ข้าพเจ้าก็นั่งกรรมฐาน นั่งอธิษฐานถึงหลวงพ่อเสมอๆ อยู่ๆ

      ข้าพเจ้าก็ได้รับพัสดุไปรษณีย์ บรรจุน้ำมนต์หลวงปู่ปาน ที่เจ้าหน้าที่ทางวัดท่าซุงได้จัดการส่ง

      ไปให้ข้าพเจ้าทางไปรษณีย์ ซึ่งข้าพเจ้ามั่นใจว่าเพราะหลวงพ่อท่านคงรู้ว่า ข้าพเจ้าเป็นอะไร

      เพราะคนอื่นนั้นไม่มีใครรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นอะไร มีหลวงพ่อเท่านั้นที่รู้ ข้าพเจ้าจึงดีใจมาก

      เวลานั่งกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็กราบบูชาถึงหลวงพ่ออยู่เสมอ

       

      เมื่อ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าไปบ้านน้องเมีย ข้าพเจ้ากินยาแก้ยอก เป็นยาชุด ๕ เม็ด

      เดินไม่ไหว จึงกินยานี้ กินแล้วมันไปกัดกระเพาะ ข้าพเจ้าก็เข้าไปที่ห้องน้ำ ถ่ายออกมาเป็นเลือด

       ทวารเปิด ถ่ายออกมา ๒ ลิตร ทวารเปิด มันไหลออกมาเอง ขณะถ่ายออกมา ข้าพเจ้าก็ภาวนา

      พุทโธๆ ๆ ไปเรื่อยๆ พอภาวนาไปๆ ข้าพเจ้าก็สลบไปเลย นานประมาณครึ่งชั่วโมง

       

      พอฟื้นขึ้นมา ข้าพเจ้าก็ขออาราธนาบามีหลวงปู่ปาน บารมีหลวงพ่อ ขอให้ช่วยให้ข้าพเจ้าหาย

       เพราะว่า ถ้าหากข้าพเจ้าตายในห้องน้ำ เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าห้องน้ำไม่ได้ เพราะข้าพเจ้า

      มาพักที่บ้านน้องของภรรยา ไม่ใช่บ้านของตนเอง คิดอธิษฐานอย่างนี้ก็เลยหาย เขาไม่ให้กินข้าว ๓ วัน

      ให้แต่น้ำเกลือ พอรุ่งขึ้น ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ น้องชายอยากให้ข้าพเจ้าพามาหาหลวงพ่อ

       ข้าพเจ้าก็พาเขามาหาหลวงพ่อได้ นับว่าอัศจรรย์จริงๆ ที่ป่วยขนาดนี้พอฟื้นตัวได้บ้างไปหาหลวงพ่อได้

       

      ข้าพเจ้าเจอประสบการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อมาเรื่อยๆ นับเป็นเวลานานถึง ๓๙ – ๔๐ ปีแล้ว เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้พบได้เห็นได้ยินมาด้วยตนเอง เป็นเรื่องจริง จึงมีความเคารพหลวงพ่อตลอดมา

       ข้าพเจ้าจึงนั่งสมาธิเสมอๆ และยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ เกิดมาก็มีความลำบาก ยิ่งขาบวมเจ็บอย่างนี้

       ยิ่งมีความเบื่อเต็มที หวังว่าชีวิตจะได้หมดทุกข์เสียที ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายแล้วขอไปนิพพาน

      เพียงอย่างเดียว

       

      http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?fid=96&tid=1155&action=printable

       

       

      จากใจผู้รวบรวม และ เรียบเรียง

      สิ่งใดก็ตาม ที่มีคนทำได้แล้วครั้งหนึ่ง

      คนต่อไปก็ต้องทำได้ เช่นกัน

      หากมีความเพียรพยายามมากพอ

      หยง เมืองดง

       

      เพราะคนทุกคนนั้นต่างเกิดมา มีอาการ 32 เหมือนกัน คือ มี 1 สมอง และ มือ ด้วยกันทุกคน  ซึ่งสิ่งที่ทำให้คนต่างกัน มีเพียงความคิด ซึ่ง ดร. นโปเลียน ฮิลล์  (นักคิด นักเขียน)ท่านกล่าวไว้ได้อย่างน่าประทับใจว่า

      “หากคุณคิดว่าคุณทำได้ คุณก็ทำได้”

      คนที่คิดว่าตนทำไม่ได้ เขาเหล่านั้น จะปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไป และทำให้ชีวิตอยู่ที่เดิม หรือแย่ลง

      คนที่ทำสำเร็จทุกคนต่างก็คิดว่าตนทำได้ จึงลงมือทำและเพียรพยายามทำจนสำเร็จในที่สุด

               และบางคน ซึ่งยังไม่เคยทำสิ่งเหล่านั้นมาก่อน พอเห็นว่าเกินวิสัย(ขี้แพ้)ของตน ก็มักใช้นิสัยขี้แย ขี้แพ้ ขี้เกียจ มาตัดสินแทนคนไปเลยว่า ทำไม่ได้ และก็หาเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน ให้น่าเชื่อถือ คนประเภทนี้ หากใครหลงคารมณ์ หลงเชื่อ และล่ะก็ เป็นได้งอมืองอเท้า ไม่ยอมทำอะไรเป็นแน่

               สุดท้ายแล้วสิ่งใดๆ ก็ตามจะสำเร็จได้ ก็ด้วย ความรักที่จะทำ ความเชื่อมั่น ความมั่นใจ การลงมือทำ ความเพียรพยายาม และการพิจารณาอย่างถูกต้อง ซึ่งถ้าจับมารวมกันแล้ว ก็คือ ความเพียรพยายามไม่ท้อถอยด้วยหัวใจที่แกร่งกล้านั่นเอง ที่จะทำให้เราสำเร็จในส่งที่มุ่งหวังตั้งใจ 

       
       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×